บทความที่ได้รับความนิยม

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

ไวรัสโรต้า ลูกท้องเสีย คุณพ่อคุณแม่ควรรู้


เมื่อเจ้าตัวเล็กท้องเสียมีไข้

       ไวรัสโรต้า คืออะไร  ไวรัสโรต้านี้เป็นไวรัสกลุ่มอาร์เอ็นเอ (Double-stranded RNA virus) ใน ตระกูล (Family) Reoviridae  เด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ขวบเกือบทุกคน จะติดเชื้อไวรัสนี้อย่างน้อยสักครั้งหนึ่ง 

         การติดต่อของโรคนี้ เกิดจากการกินสิ่งปนเปื้อนอุจจาระที่มีเชื้อนี้ เช่น เด็กมือเปื้อนแล้วอมหรือดูดนิ้ว หรือเชื้อ/อุจจาระติดกับของเล่น หรือเครื่องใช้ จึงเป็นโรคป้องกันค่อนข้างยาก ดังนั้นจึงมักมีการระบาดของไวรัสโรตาในโรงเรียนเด็กเล็ก หรือสถานเลี้ยงเด็ก 
    
       เด็กเล็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อายุน้อยกว่า 3 เดือน จะมีภูมิคุ้มกันต้านทานต่อไวรัสโรตาที่ผ่านรกมาจากแม่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และเด็กที่กินนมแม่จะมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโรตามากกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ จึงมักพบท้องร่วงจากไวรัสโรตาในเด็กสองกลุ่มนี้น้อยกว่าเด็กกลุ่มอื่นๆ

         ในประเทศไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบว่า ในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี 43-56% ของเด็กที่เป็นโรคท้องร่วงที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล เกิดจากไวรัสโรตา และยังมีผู้ป่วยเด็กอีกจำนวนมากเป็นผู้ป่วยนอก และส่วนหนึ่งไปรักษาตามคลินิกใกล้บ้าน ไม่ได้นอนรักษาในโรงพยาบาล
เด็กท้องร่วงที่ต้องนอนโรงพยาบาลอัตราสูงสุดจะอยู่ที่อายุ 6 เดือนถึง 15 เดือน ซึ่งข้อ มูลนี้แสดงให้เห็นว่า เด็กเล็กมีโอกาสเสี่ยงต่อท้องร่วงมาก และทำให้เกิดอาการรุนแรงจนอาจเสียชีวิต


วิธีการรักษา
  •   รักษาประคับประคองตามอาการาโดยให้สารละลายเกลือแร่กินให้เพียงพอกับน้ำ/เกลือแร่ที่เสียไปกับการอาเจียนและท้องร่วง/ท้องเสีย/ท้องเดินซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการรักษา
  • หากเด็กกินไม่ได้ ต้องให้น้ำ/เกลือแร่ทดแทนทางหลอดเลือดดำ โดยปกติเด็กมักจะไม่ค่อยยอมกิน หลักการที่ใช้ได้ผลส่วนมากคือ พ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูเด็ก ต้องเข้าใจและพยายาม ไม่ยอมกินต้องพยายามป้อนให้ได้ตลอด อาเจียนออก ก็ป้อนใหม่ ซึ่งอาการอาเจียนมักเกิดอยู่ประ มาณไม่เกิน 2 วัน
  • เมื่อมีไข้ รักษาอาการไข้โดยเช็ดตัวและให้ยาลดไข้ ให้ยาขับลมหากปวดท้องหรือท้อง อืด ซึ่งการให้เกลือแร่ที่เพียงพอจะช่วยลดอาการท้องอืด
  • หากเด็กหยุดอาเจียน ให้รับประทานข้าวต้ม หรือโจ๊กได้ หากเด็กถ่ายเป็นน้ำหลายวันและเด็กดื่มนมวัวอาจเกิดภาวะขาดเอนไซม์แลคเตสที่ใช้ย่อยนมวัว ควรเปลี่ยนเป็นนมที่ไม่มีแลคโตส หรือให้นมถั่วเหลือง ในเด็กที่ให้นมแม่ ให้นมแม่ต่อไปโดยไม่ต้องเปลี่ยนนม
  • ปัสสาวะ เป็นสิ่งชี้วัดว่าน้ำในร่างกายเพียงพอหรือไม่ ควรติดตามเรื่องการปัสสาวะของเด็ก หากเด็กปัสสาวะออกดี (ภายใน 4 ชั่วโมง ควรปัสสาวะอย่างน้อยหนึ่งครั้ง และปริมาณไม่ควรน้อยกว่า 0.5 มิลลิลิตร ต่อน้ำหนักเด็ก 1 กิโลกรัม ต่อ 1 ชั่วโมง) แสดงว่าทดแทนภาวะเสียน้ำได้ดี ซึ่งต้องทดแทนเกลือแร่ที่เสียไปด้วย
  • เกลือแร่ที่มีขายเป็นซองใช้ได้ ดูการผสมให้ถูกต้องว่า 1 ซองผสมน้ำเท่าใด 
  • หากหาเกลือแร่ไม่ได้ ให้ทำน้ำเกลือแร่เอง โดยใช้น้ำตาลทราย 3 ช้อนชา (ช้อนยาเด็ก 3 ช้อนชาได้เท่ากับ 15 กรัม) ผสมน้ำสะอาด 750 มิลลิลิตร (ขวดน้ำปลาที่มีคอคอด หรือ ใช้ขวดนม 8 ออนซ์ 3 ขวด กับอีก 1 ออนซ์) ใส่เกลือประมาณครึ่งช้อนชาต้มให้เดือด และทิ้งไว้ให้เย็น
  • หรือใช้น้ำข้าวเติมเกลือและน้ำตาล หรือ ป้อนด้วยน้ำแกงจืด
  • หากเด็กไม่ยอมกิน ก็ใช้ป้อนด้วย น้ำอัดลม สไปรท์  หรือเซเวนอัพ  หรือเครื่องดื่มประเภทเดียวกัน ผสมน้ำอีกหนึ่งเท่าตัว เขย่าฟองออกก่อน ป้อนเด็กบ่อยๆ

การป้องกันโรค


1. การรักษาสุขอนามัย เป็นการป้องกันที่สำคัญที่สุด
        รักษาความสะอาด ตัดเล็บให้สั้น หมั่นล้างมือบ่อยๆ (ด้วยน้ำและสบู่) โดยเฉพาะหลังการขับถ่ายและก่อนรับประทานอาหาร รวมทั้งการใช้ช้อนกลาง และหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ หลอดดูด ผ้าเช็ดหน้า และผ้าเช็ดมือ เป็นต้น

        สถานรับเลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุบาล ต้องจัดให้มีอ่างล้างมือและส้วมที่ถูกสุขลักษณะ หมั่นดูแลรักษาสุขลักษณะของสถานที่และอุปกรณ์เครื่องใช้ให้สะอาดอยู่เสมอ รวมถึงการกำจัดอุจจาระเด็กให้ถูกต้องด้วย หากพบเด็กป่วย ต้องรีบป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังเด็กคนอื่นๆ ควรแนะนำผู้ปกครองให้รีบพาเด็กไปพบแพทย์ และหยุดรักษาตัวที่บ้านจนกว่าจะหายเป็นปกติ  ระหว่างนี้ไม่ควรพาเด็กไปในสถานที่แออัด เช่น สนามเด็กเล่น สระว่ายน้ำ และห้างสรรพสินค้า และผู้เลี้ยงดูเด็กต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระเด็กป่วย

        ในกรณีที่เป็นทารกและเด็กเล็ก แนะนำการให้นมมารดา เนื่องจากในน้ำนมมารดามีสารภูมิต้านทานที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคอุจจาระร่วง แต่ในรายที่ใช้นมผสมและขวดนม ควรชงนมในปริมาณที่พอดีต่อการให้นมแต่ละครั้ง ทำความสะอาดขวดนมให้สะอาดและนำไปต้มหรือนึ่งทุกครั้งก่อนการนำมาใช้ใหม่

2. วัคซีน
        ปัจจุบัน ได้มีการผลิตวัคซีนที่ใช้ในการป้องกันโรคอุจจาระร่วงจากเชื้อไวรัสโรต้า โดยเริ่มผลิตครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อ 10 ปีก่อน แม้มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรค แต่มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น ได้แก่ การเกิดโรคลำไส้กลืนกัน จึงมีการระงับการใช้ไป ต่อมาเมื่อ 2 ปีก่อนได้มีการพัฒนาวัคซีนรุ่นใหม่เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนได้ ซึ่งวัคซีนรุ่นใหม่นี้เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง ในการป้องกันโรคและมีความปลอดภัยสูง

        วัคซีนโรต้าใช้รับประทานในเด็กเล็กอายุ 6 สัปดาห์ขึ้นไป ให้ 2-3 ครั้งแล้วแต่ชนิดของวัคซีน แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ควรให้แล้วเสร็จก่อนอายุ 6 หรือ 8 เดือนขึ้นกับชนิดของวัคซีน อาจมีผลข้างเคียงที่พบได้บ้าง คือ ไข้ ถ่ายเหลว และอาเจียน


        แม้ว่าปัจจุบันจะมีวัคซีนหยอด เพื่อป้องกันเชื้อไวรัส ซึ่งสามารถลดการติดเชื้อได้หรือลดความรุนแรงของอาการได้ก็จริง แต่การใช้วัคซีนจึงอยู่ในวงจำกัด ยังไม่ทั่วถึง เพราะไม่ได้อยู่ในโปรแกรมของการให้วัคซีนแก่เด็กทั่วประเทศตามที่กระทรวงสาธารณสุขระบุ



ความรุนแรงของโรค

         ขึ้นอยู่กับภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ จากการอาเจียน และขับถ่าย เด็กกินได้ไหม หากกินไม่ได้ ได้ให้น้ำเกลือเพียงพอหรือไม่ มีภาวะผิดปกติของสมดุลกรดด่างหรือไม่ หากเด็กเสียน้ำและเกลือแร่มาก เด็กอาจมีภาวะกรดในร่างกาย (Acidosis) ซึ่งจะมีอาการหอบลึก/หาย ใจลำบากร่วมด้วย ต้องรีบแก้ไข (ไปโรงพยาบาลฉุกเฉิน) เด็กที่เสียน้ำมาก/ขาดน้ำมากและทด แทนไม่ได้อย่างเหมาะสม อาจมีอาการช็อก หากแก้ไขไม่ทัน เด็กอาจเสียชีวิต หรือมีการทำ งานของอวัยวะต่างๆผิดปกติ (เช่น ไต) โดยเฉพาะเด็กที่อายุน้อย แต่อาการท้องร่วงจากไวรัสโรต้า เกิดซ้ำได้เสมอ แต่เมื่อเกิดครั้งแรกแล้ว จะมีภูมิคุ้มกัน ทำให้การเกิดครั้งต่อๆไป อาการรุนแรงน้อยลง

        ในการเจ็บไข้ได้ป่วยของเด็ก คงไม่มีผู้ปกครองคนไหน นิ่งนอนใจถึงขนาดรอคิวรับการรักษาได้นานๆ แต่ครั้นจะไปโรงพยาบาลเอกชน ก็แพงจนเกินจะรับไหว มีหลายครั้งที่ผู้ปกครอง ตกใจกับราคาประกันชีวิตของเด็กน้อย เบี้ยเพียงสองหมื่นต่อปี กับเด็กน้อยที่มีโอกาสเสี่ยงมากที่จะป่วยบ่อย สองหมื่นที่จ่ายทุกปีนี้ ไม่เทียบเท่าการนอนโรงพยาบาลเอกชนโดยไม่มีประกัน  ซึ่งคุณอาจจะสูญเงินนับหลายๆหมื่นเพียงแค่ลูกรัก เข้ารับการรักษาเพียงสามวัน จ่ายสองหมื่นต่อปี  กับจ่ายหลายหมื่นต่อวัน แต่การรักษาสิทธิ์ต่างๆเท่ากัน....ทีนี้ ตัดสินใจหรือยังว่าจะเลือกแบบไหนดี

Credit: http://haamor.com/th/ และ https://www.vejthani.com/web-thailand/Rotavirus.php

#ประกันชีวิตเด็ก
#โรคในเด็ก 


ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องประกันชีวิตได้ที่

ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396
มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2561

มะเร็งในเด็ก ภัยร้ายทำลายหัวใจพ่อแม่

         เป็นเรื่องที่น่าตกใจ และน่าสนใจ(ในเชิงระวัง) เกี่ยวกับ "มะเร็งในเด็ก" ในยุคสมัยหนึ่ง มะเร็งถูกจำกัดความว่าจะเกิดกับ ผู้ใหญ่ วัย 40 ปลายๆไปแล้ว เพราะเป็นการสั่งสมของเสียในร่างกายมาเป็นระยะเวลานานจึงเกิดเชื้อร้าย แต่ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ ควบคู่กับวิวัฒนาการทางโลก(โรคก็ด้วย)ิจึงทำให้ต้องตระหนักว่า มะเร็ง ไม่ได้ถูกจำกัดแค่วงผู้ใหญ่เสียแล้ว 

สำรวจสถิติมะเร็งในเด็ก
         สำหรับสถิติโรคมะเร็งในโรงพยาบาลรามาธิบดี จากการจัดทำทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาล ซึ่งได้มีการอ้างอิงการจัดกลุ่มแบบ ไอซีซีซี ( ICCC, International Classification of Childhood Cancer) พบสถิติผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งอายุระหว่างแรกเกิด ถึง 15 ปี ที่ได้รับการวินิจฉัยและรักษา ณ โรงพยาบาลรามาธิบดี ระหว่างปี 2554-2558 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 472 คนพบเพศชายมากกว่าเพศหญิง เล็กน้อย โดยพบจำนวนผู้ป่วยเด็กชาย 271 คน(57.4%) และผู้ป่วยเด็กหญิง 201 คน (42.6%) 

        อัตราการเกิดโรคมะเร็งของเด็กในแต่ละช่วงอายุ
  • 8% เกิดในอายุต่ำกว่า 1 ปี
  • 36.2% อายุอยู่ระหว่าง 1-4 ปี
  • 28.2% อยู่ในช่วง 5-9 ปี
  • และ 27.6% อยู่ในช่วงอายุ 10-15 ปี

มะเร็งในเด็กมีอะไรบ้าง
      องค์กรระหว่างประเทศในการจัดแบ่งชนิดมะเร็งในเด็กทั้งหมดเป็น ๑๒ ชนิด ซึ่งชนิดของโรคมะเร็งในเด็กทั่วโลกคล้ายคลึงกัน แต่อาจแตกต่างในลำดับของการเกิด สำหรับประเทศไทย จากทะเบียนผู้ป่วยมะเร็ง จัดทำโดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข รายงานในปี ค.ศ. 2007 พบการเกิดโรค เรียงตาม ๑๒ ลำดับที่พบบ่อย ดังนี้
  • โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)
  • โรคเนื้องอก/มะเร็งสมอง (Brain tumors)
  • โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma)
  • โรคมะเร็งประสาทซิมพาทีติค ชนิด นิวโรบลาสโตมา
  • โรคมะเร็งลูกตา ชนิดเรติโนบลาสโตมา (มะเร็งจอตา โรคตาวาว)
  • โรคมะเร็งไตชนิดวิมทูเมอร์ (Wilms’tumor)
  • โรคมะเร็งตับ ชนิด เฮปาโตบลาสโตมา (Hepatoblastoma)
  • โรคมะเร็งกระดูกชนิด ออสติโอซาร์โคมา(Osteosarcoma) และ ชนิด อีวิง (Ewing’s saroma)
  • โรคมะเร็งกล้ามเนื้อ ชนิด แรบโดไมโอซาร์โคมา (Rhabdomyosarcoma)
  • โรคมะเร็งของอวัยวะ/เนื้อเยื่อต่างๆ ชนิด เจิมเซลล์ (Germ cell tumors)
  • โรคมะเร็งเยื่อบุผนังอวัยวะ ชนิด คาร์ซิโนมา
  • โรคมะเร็งชนิดอื่นๆ นอกเหนือจากที่ได้กล่าวแล้วทั้งหมด


     โรคมะเร็งในเด็กแบ่งตามกลุ่มอายุ 0-4 ปี, 5-9 ปี และ 10-14 ปี เรียงลำดับของชนิดโรคที่พบบ่อย 3 อันดับแรกมีดังนี้นี้กลุ่มเด็กอายุ 0-4 ปี พบผู้ป่วยเด็กชนิด มะเร็งสมอง (brain tumor) (43 คน), มะเร็งตาชนิด retinoblastoma (41 คน) และ Sympathetics nervous system (22 คน) กลุ่มเด็กอายุระหว่าง 5-9 ปี พบชนิดมะเร็งสมอง (45คน), มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (19คน) และมะเร็งกระดูก (19คน)สำหรับกลุ่มเด็กโต อายุระหว่าง 10-14 ปี พบชนิดมะเร็งสมอง (40คน), มะเร็ง Germ cell(35คน),และ Carcinoma (24คน),ตามลำดับ

สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งในเด็ก
ในปัจจุบันการหาสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งในเด็กยังไม่ทราบชัดแน่นอน แต่เชื่อกันว่าน่าจะเกิดมาจากหลายปัจจัยร่วมกัน โดยมีปัจจัยเสี่ยง ที่สำคัญคือ ความผิดปกติทางพันธุกรรมชนิดถ่ายทอดได้ หรือเรียกง่ายๆว่า ถ่ายทอดมาจากทางพันธุกรรมนั่นเอง                                  
                                                                              วิธีการรักษา
โรคมะเร็งในเด็กส่วนใหญ่มีความรุนแรงของโรคสูง แต่ก็มีโอกาสรักษาหายได้ โดยจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น ระยะของโรค ชนิดของเซลล์มะเร็ง ธรรมชาติของโรคมะเร็ง ความสามารถในการผ่าตัดเอาก้อนเนื้อมะเร็งออก การตอบสนองต่อเคมีบำบัด อายุ และสุขภาพของเด็ก หลักในการรักษามะเร็งในเด็กจะใช้วิธีเดียวกับโรคมะเร็งในผู้ใหญ่ ซึ่งในปัจจุบันสามารถทำได้ มี 3 วิธีหลัก ๆ ได้แก่ การผ่าตัด  การใช้เคมีบำบัด และวิธีรังสีรักษา โดยในวิธีรังสีรักษา จะใช้ก็ต่อเมื่อมะเร็งที่พบมีความรุนแรงโรคสูง เมื่อโรคย้อนกลับเป็นซ้ำ โรคเกิดการแพร่กระจาย ไม่สามารถผ่าตัดได้ และโรคมีอาการดื้อต่อเคมีบำบัดนั้นเอง                                                                                   
                                                                                     แนวทางป้องกัน                                         

 การป้องกันโรคมะเร็งในเด็ก เป็นเรื่องยาก ปัจจุบันยังไม่มีวิธีไหนที่สามารถป้องกันโรคมะเร็งในเด็กได้อีกทั้งการตรวจคัดกรองโรงมะเร็งในเด็กก็ยังไม่มี ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดที่ทำได้คือ ให้เด็กหลีกเลี่ยงจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ หรือสารก่อมะเร็ง จากอาหาร น้ำดื่ม  และสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวและโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงสารก่อมะเร็งชนิดต่างๆ เช่น  อาหารสำเร็จรูป บุหรี่ และเหล้า ก็จะดีที่สุด              
  







                                                                                     อ่านแล้วอยากให้คุณพ่อคุณแม่ หลายๆคนได้คิดว่า มะเร็งในเด็ก จะเป็นอีกหนึ่งอุปสรรค ที่แย่งชิงความสดใส และโอกาสในการทำกิจกรรม หรือการเรียนรู้ของลูกๆ น่าแปลก มะเร็ง มักชอบจะมาในช่วงที่ชีวิต ไม่ได้เตรียมรับมือกับมัน เราคงทำได้แค่กันเค้าให้พ้นจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ แต่ถ้าวันหนึ่ง มันมาเยือนถึงครอบครัวเราล่ะ คุณพ่อคุณแม่เตรียมรับมือกับเรื่องแบบนี้ไว้อย่างไรบ้างคะ 




Credit ข้อมูล : 
1. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคมะเร็ง
2. http://amprohealth.com/cancer/pediatric/
3.http://haamor.com/th/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81/


#มะเร็งในเด็ก

ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องประกันชีวิตได้ที่

ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396
มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2561

อดีตคือความฝัน ปัจจุบันคือความจริง อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน

     "อดีตคือความฝัน ปัจจุบันคือความจริง อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน" มีพี่สายธรรมะคนหนึ่งได้กล่าวประโยคเตือนใจในวันแรก ที่ย่างเท้าเข้าสู่การทำงาน จริงๆคำสอนอันนี้ พี่เขากล่าวว่าเป็นคำสอนที่หลวงพ่อจรัญ ท่านเทศน์สอนศิษย์ ฟังตอนแรก อะไรอ่ะไม่เห็นจะอินเลย แท้จริงแล้วคำสอนนี้สามารถ เข้าได้กับทุก ทุกอาชีพ

      คนเราไม่สามารถเดินไปข้างหน้า พร้อมๆกับมองกระจกหลัง และอีกใน 1 นาทีข้างหน้า ก็ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรกับตัวเองบ้าง คนทุกคนล้วนวางแผนให้ตัวเอง ได้แค่วงกว้างๆ(ทั้งที่คิดว่าแคบแล้ว) ในระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงมักจะมาในรูปแบบของอนาคต เทียบกับการขับรถ ถ้าเราขับช้าๆระวังๆ โอกาสเกิดอุบัติเหตุ ก็จะต่ำ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้น


      หลายครั้งที่เรา ยังไม่สามาถควบคุมตัวเองได้ เรามักจะเรียกอาการเหล่านั้นว่า “หน้ามืด” หน้ามืด คือ เป็นได้ทั้งอาการทางแพทย์ และเป็นได้ทั้งอาการทางจิต (ไม่ใช่โรคจิต) มันเรียกว่า การตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ถูกใจแบบฉับพลัน หลายครั้งที่คนเราซื้อของมามากมายตอนต้นเดือน พอปลายเดือนก็เกิดอาการ รู้งี้ตรูไม่น่า........

      นั่นเพราะเราไม่เคยคิดถึงอนาคต อาจจะคิดนะแต่เป็นวงกว้าง ถ้าไม่มีแพลนมาก่อน การเก็บเงินก็ไม่มี เป็นอย่างนี้ ทุกคนเลยมักจะมีคำพูดติดปากว่า "โหยย เงินเดือนน้อยนิด แค่ใช้ชีวิตยังยากแล้ว " เลย เมื่อเรามานั่งพิจารณา เขียนลงกระดาษ เราถึงนึกได้ว่าเราเสียค่าใช้จ่ายกับสิ่งรอบกายมากที่สุด แล้วตัวเองล่ะ เคยคิดไหมว่า เราจะเอาเงินก้อนนึงมาทำประโยชน์ให้ตัวเอง จากสิบ เป็นร้อย จากร้อย เป็นพัน

    วันหนึ่งฉันจะเป็นเศรษฐี แต่การเป็นเศรษฐีก็ไม่ได้มาในรูปแบบการเล่นหวย แต่ทำไมคนชอบเล่น คนทุกคนมักชอบทางลัดที่จะทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น แต่ความสำเร็จของเศรษฐีจริงๆ ไม่มีทางลัด ทุกคนล้วนเคยลำบากจนรู้ว่าต้องทำอะไร แบบไหน ที่จะยั่งยืน มั่นคง ถาวร มันเกิดจากการลองผิด ลองถูกซ้ำซาก แต่ลองด้วยสองมือ สองแรง ผิดกับหวยนะ อันนั้นลองด้วยเงิน (เดี๋ยวจะมีคนบอกว่าหวยก็ลองผิดลองถูกซ้ำซากเหมือนกัน) แต่โอกาสสำเร็จ และความยั่งยืนมันต่างกันนะ


   มาถึงจุดนี้บางคนก็บอก นี่ไงฉันก็ทำงานหนักเพื่อครอบครัวอยู่นี่ไง แล้วครอบครัวต้องการให้คุณทำแบบนั้นไหม อะไรจะเป็นหลักประกันให้ ว่าสิ่งที่คุณทำ มันได้ผล ตอบโจทย์  คุณอาจจะเถียงว่าฉันมีประกันชีวิตแล้วนะ สิ่งที่คุณลืมโฟกัสอีกอย่างในการทำประกัน คือทุนประกัน คุณมักจะเลือกทุนประกันขั้นต่ำ เพราะจ่ายถูกดี คิดว่าเงินแสน มันพอกับครอบครัวคุณจริงๆหรอ

    บางทีคุณทำให้แค่กับตัวเอง คุณก็ลืมนึกถึงใครไปหรือเปล่า ถ้าวันนึงคุณต้องกลายเป็นผู้พิการ ถ้าวันนึงคุณเสียชีวิต คุณเคยนึกถึงรายจ่ายพวกนี้ไหม ตามที่บอกอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน สิ่งที่คุณควรทำ คือทำปัจุบันให้ดีตอบโจทย์ตัวคุณทุกเรื่องได้  ประกันชีวิต นอกจากจะช่วยคุณในเรื่องค่าใช้จ่ายการรักษา คุณจ่ายหลักหมื่น ความคุ้มครองหลักแสน - ล้าน ประกันชีวิต ยังมีเงินทุนประกัน ที่เป็นส่วนหนึ่งในการตอบโจทย์การออมแบบเศรษฐีที่แท้จริง ไร้ความเสี่ยงใดๆ แถมมีสัญญาเป็นหลักประกันให้คุณ และครอบครัว

     คุณจะทำงานน้อยลง มีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น มีความสุขกับชีวิตมากขึ้น เพราะมีประกันชีวิต ที่ตอบโจทย์ความกังวลคุณในหลายๆ จุด อย่างน้อยๆ คุณก็ทำให้อนาคตของคุณมีความแน่นอนในระดับหนึ่งเลยล่ะ หลายครั้งคนมักมีอดีตเป็นเครื่องเตือนใจ แต่น้อยคนที่จะเข้าใจคำเตือนของอดีต บางครั้งอดีตมักมาในรูปแบบ อดีตของคนอื่นที่คุณได้แต่พูดว่า "เขาเหล่านั้นน่าสงสารจัง" แต่ลืมคิดไปว่ามันอาจจะเป็นคุณก็ได้ในวันหนึ่ง 

#ประกันชีวิต
#เรื่องในอนาคตที่คุ้มครองได้


ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องประกันชีวิตได้ที่

ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396


มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844
 

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2561

ทุพพลภาพ กับ พิการ ความเหมือนที่แตกต่าง ข้อพิพาทของลูกค้ากับการประกัน

          ศัพท์ประกันชีวิตที่ลูกค้าสับสนและเข้าใจผิดกันบ่อยที่สุด ความสับสนในความหมายที่เหมือนจะใช่แต่ดันไม่ใช่ หาในกูเกิ้ลก็ไม่มีอะไรเป็นข้อบ่งชี้แตกต่างเด่นชัด เรามาเคลียร์ความกระจ่างให้เด่นชัดในความหมายกันดีกว่า

        ทุพพลภาพ หมายถึง หย่อนกําลังความสามารถที่จะประกอบการงานตามปรกติได้ อวัยวะอาจจะยังอยู่แต่สูญเสียความสามารถในการใช้งาน  
       แต่ภาษาประกันชีิวิต เพิ่มเติมมาคือ ไม่สามารถประกอบหน้าที่การงานใดได้เลยอย่างสิ้นเชิงตลอดไป ไม่ว่าจะเป็นอาชีพประจำหรืออาชีพอื่น หรือ ถ้าวัดกันจริงๆคือ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองในด้านใดๆได้เลย เช่นอุบัติเหตุทำให้เป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงมา อันนี้ต้องจำเลยค่ะ ถ้าในกรมธรรม์ เขียนว่าทุพพลภาพ คือ ความหมายตามนี้เท่านั้น หรือมีอีกหนึ่งทางที่จะสามารถยืนยันได้ คือ มีผลยืนยันจากทางแพทย์ว่าคุณจัดเป็นบุคคล ทุพพลภาพ



          พิการ หมายถึง  บุคคลซึ่งมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคม เนื่องจากมีความบกพร่องทางการเห็น การได้ยิน การเคลื่อนไหว สื่อสาร จิตใจ อารมณ์ พฤติกรรม สติปัญญาและการเรียนรู้หรือความบกพร่องอื่นใด ประกอบกับมีอุปสรรคในด้านต่างๆ และมีความจำเป็นเป็นพิเศษที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือด้านหนึ่งด้านใด เพื่อให้สามารถปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคมได้อย่างบุคคลทั่วไป 
          คือ อธิบายภาษาง่ายๆ ได้ความว่า คุณขาขาด 1 ข้าง คุณจัดว่าพิการ แต่ไม่ใช่ทุพพลภาพ เอาเข้าใจง่ายไปกว่านี้คือ ตราบใดที่คุณยังช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง ใส่เสื้อผ้าได้เอง กินข้าวได้เอง และแถมยังทำงานได้ เช่น พิการขาสองข้าง เป็นนักศิลปะ หรือพิการสายตา ทำCall Center



      บ่อยครั้ง ที่ความผิดมาจากตัวแทนเอง ที่ใช้ศัพท์ผิด แทนที่จะอธิบาย ทุพพลภาพ แต่ดัน พูดว่าพิการเลยทำให้ลูกค้า เข้าใจไปผิด ที่นี้เลยเป็น ข้อพิพาท กันใหญ่โต และมิวเชื่อว่า บางคนก็ยังแปล ความหมายสองคำนี้ ไปในทางเดียวกันอยู่ดี รู้ไว้เลยค่ะ ว่าถ้ามีบัตรแสดงว่าตนเป็คนพิการจริง ประกันก็ไม่เครมให้ เพราะ คุณไม่ได้ทุพพลภาพ ต้องนำคำวินิจฉัยหมอมายืนยันค่ะ จะชัวร์ที่สุด

บริษัทไม่ได้โกงค่ะ มันมาจากความเข้าใจผิดล้วนๆเลย 
ถ้าคิดว่าบทวามนี้กำลังเป็นประโยชน์กับเพื่อนคนใด แชร์ได้เลยค่ะ
#คนพิการ
#ทุพพลภาพ

ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องประกันชีวิตได้ที่

ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396
มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844





วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2561

ข้าราชการทำไมถึงควรทำประกันชวิต

            สวัสดิการข้าราชการ ขึ้นชื่อเลยว่าสุดยอดแห่งความ "PERFECT" ครอบคลุมทุกค่าใช้จ่าย เหมือนเป็นพลเมืองที่รัฐต้องคุ้มครองอย่างเต็มที่ แต่ข้าราชการน้อยๆบางคน อาจจะมีความสับสนว่ารัฐจ่ายหมดทุกเรื่องจริงไหม ตอบตรงนี้เลยค่ะ ส่วนใหญ่จะครอบคลุม แต่บางอย่าง บางเรื่องก็มีเรทให้ เช่น จำพวกค่าห้องรักษา อันนี้ยกมาหลักๆก่อนเลย รายละเอียดอื่นๆ อาจจะแตกต่างตาม ขั้น ชั้นของราชการ

           ที่นี้เข้าคำถามว่า "ข้าราชการทำไมถึงควรทำประกันชีวิต" เป็นจุดเล็กๆ ที่ข้าราชการหลายคน มักมองข้ามไป ในเมื่อรัฐ จ่ายให้ทุกอย่าง จะทำประกันชีวิต เพื่อ??  คิดว่าหลักทุกคนที่เป็นข้าราชการ จะมีความคิดว่าจะทำประกันชีวิต เพียงแค่ "ลดภาษี" (อ่านถึงตรงนี้หลายๆคน คงตอบว่า ใช่) จริงๆแล้ว         การทำประกันชีวิตไม่ได้มีหน้าที่แค่จ่ายภาษีให้นะคะ สาเหตุที่ควรทำ มิวจะแยกเป็นข้อๆเลย 

           1. กรณีฉุกเฉิน แล้วต้องเข้าพักโรงพยาบาลเอกชน ด่วนๆ ประกันชีวิตจะเป็นด่านหน้าในการสำรองจ่ายเงิน  ถ้าลูกค้าที่เป็นข้าราชการทำครอบคลุมทุกเรื่องก็เข้าไปได้ อย่างสบายใจ ไม่ต้องรอคิวโรงพยาบาลรัฐ ไม่ต้องลุ้นว่าจะมีห้องให้เราไหม โรงพยาบาลเอกชน จะทำเรื่องเครมกับบริษัทประกันชีวิตก่อน ส่วนต่างจากนั้นก็จะเดินเรื่อง เบิกข้าราชการให้ ตัความกังวลไปได้หลายเรื่อง สบายใจ (แต่ต้องเช็คก่อนนะว่า โรงพยาบาลเอกชนรับประกันชีวิตของบริษัทที่เราทำไว้หรือไม่ ถามตัวแทนก็ได้ค่ะ เค้ามีคำตอบให้เลย ดังนั้นเลือกบริษัทที่มีความมั่นคงจะดีที่สุด)



        2. หากในวันหนึ่ง เราลาออก หรือแย่สุดๆคือ มีเหตุต้องจากไปก่อน พูดถึงกรณีเราจากไปก่อนเลยคนข้างหลัง จะมีเงินก้อนที่มาจากทุนประกันชีวิตของเรา แล้วไหนจะทุนของราชการต่างๆที่เราหักเงินเดือนไว้อีก เพียงแค่นี้คงเป็นเหตุผลที่คุณจะสบายใจได้ว่าพวกเขาจะไม่ลำบากแน่นอน  หรือถ้าเราลาออกแต่ได้ทำประกันชีวิตไว้ ก็หมดความกังวลเรื่อง จะไม่มีสิทธิ์เบิกจ่ายค่ารักษาใดๆ เพราะประกันชีวิตนี่ล่ะจะเป็นฮีโร่ช่วยคุณเอง รวมถึงครอบครัวคุณ ถ้าได้ทำไว้ ในกรณีเราจากไป หรือลาออกพวกเขาก็มีประกันตัวนี้แหละ ทำหน้าที่แทนสวัสดิการข้าราชการที่หายไป


       3.ลดหย่อนภาษี จริงๆ ก็น่าจะทราบกันอยู่แล้ว แต่จะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม ว่าตัวประกันหลัก นอกจากจะลดภาษีได้ ยังทำหน้าที่กระจายความเสี่ยงด้านการเงินของคุณ อย่างที่เคยเขียนไป ว่าเราควรเก็บไข่ไว้ในตะกร้าหลายๆใบ จริงอยู่ที่สหกรณ์ในองค์กรต่างๆจะให้ดอกเบี้ยที่ชวนขนลุก และไม่มีเงื่อนไขเซฟเงินเป็นปีๆ กว่าจะได้ใช้ ดีกว่าธนาคาร ดีกว่าประกันเงินออม เราเอาอะไรมาเชื่อใจ ในคำโฆษณานั้นๆคะ เราเอาเงินเราไปทุ่มทั้งหมด แล้วถ้าโดนโกงละคะ เสี่ยงไหม ถามว่าสหกรณ์ไม่โกงไหม 
ก็อย่างที่ออกข่าวค่ะ เราไม่พูดดีเทลเนอะ ข้ามไป เอาเป็นว่า จะดีกว่าไหม ลงทุนสหกรณ์ แล้วก็ลงทุนกับประกันชีวิตด้วย 

      เพราะว่าเรา ไม่รู้ ไม่สามารถคาดการณ์อะไรได้ล่วงหน้าเลย หมอดูที่มีชื่อบางทียังดูพลาด แล้วเราจะเอาอะไรเป็นหลักประกันให้ตัวเรา ให้คนที่เรารัก ในวันที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ชื่อก็บอกแล้วว่า ไม่คาดคิด คนส่วนใหญ่ไม่คิด แต่ไม่ใช่ไม่รู้ รู้ว่าอาจจะเกิด บางอย่างเกิดแน่ๆ แต่ก็คงไม่ใช่ในเร็ววันนี้      หรอกมั้ง.....แล้วถ้าเกิด....มันใช่ขึ้นมาล่ะ วิ่งหาประกันวันนั้นมันไม่ทันนะคะ ดังนั้นจะทำประกันลดภาษีทั้งที เอาให้คุ้มครอบคลุมพอที่เราจะจ่ายไหว แล้วถ้าเงินเดือนขึ้นก็เพิ่มความคุ้มครองเอา ไม่ดีกว่าหรือคะ


รักและเป็นห่วงข้าราชการทุกคน ค่ะ ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน

#ข้าราชการทำประกันชีวิตดีไหมนะ 
#ออมเงินประกัน
#กระจายความเสี่ยง

ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องประกันชีวิตได้ที่

ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396
มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844

วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2561

ตัวแทนประกันหาย ตัวแทนประกันโกง ติดต่อสำนักงานไม่ได้เรื่องคืบหน้า ทำไงดี

         เสียหายเท่าไร กับการไม่มีความรับผิดชอบของตัวแทนบางคน จริงๆ มันเป็นเรื่องที่ลูกค้า ประสบพบเจอ และตัวแทนใหม่ๆ ก็จะทำการขายยากมากๆ ลูกค้าจะเข็ดหลาบกับบริษัทประกัน ตัวแทนใหม่ๆ ก็ขายยากขึ้น

ตัวอย่างตามกระทู้พันทิพย์นี้ หากตัวแทนขายประกันที่ขายเรา ลาออกจากบริษัทไปแล้ว จะตามหาเจ้าหน้าที่ดูแลต่อยังไงดีครับ    

        มันไม่ใช่ความผิดที่ลูกค้าจะกลัว หรือเข็ด หน้าที่มิวคือแก้ปัญหาให้ลูกค้าค่ะ

       มิวจะแบ่ง ปัญหาที่พบ และคำตอบวิธีการเอาเท่าที่วิธีปฏิบัติจริง พอทำได้แล้วกันค่ะ

1. ตัวแทนโกงเงินเบี้ยชำระที่ให้ไป  ตามที่จริงแล้ว จรรยาบรรณที่ตัวแทนต้องสอบกันทุกคน จะถือว่าเรื่องนี้ผิดต่อจรรยาบรรณ ไล่ออกสถานเดียว และส่งผลเสียต่ออาชีพโดยรวมมากๆ แต่พนักงานบางคนก็คิดน้อยกับอนาคตตัวเองเพียงแค่เงินมันผ่านมือมา ช่างก้อนมหึมาเสียจริงๆ เอาน่า ขอเอาไปใช้ก่อนเดี๋ยวมีจะมาโปะคืน ความมืดดำนี้จะไม่มีคำว่าโปะคืน ไม่ใช่แค่ตัวแทนประกัน คาดว่าน่าจะมีในอาชีพที่เงินผ่านมือเยอะๆ แทบทุกอาชีพ
          วิธีการแก้ปัญหา 
                    1 .อย่าเชื่อใจตัวแทนแม้เขาจะเป็นคนสนิทคุณ 
                    2.บริษัทจะให้ใบเสร็จชั่วคราว มากับตัวแทนทุกคน ขอใบเสร็จนั้นทุกคร้งที่มีการชำระเงินเกิดขึ้น เพราะ ในใบเสร็จ จะมีชื่อและรหัสของตัวแทนคนนั้นๆอยู่
                    3.ภายใน3-7 วัน ให้ตรวจสอบตรงไปที่บริษัทเลยว่า กรมธรรม์ของตนมียอดชำระเบี้ยเข้ามาหรือไม่( ถามว่าต้องทำทุกครั้งไหม จริงๆมันเป็นสิ่งที่ควรกระทำนะคะ ผลประโยชน์ของเรา )
                    4.หากไม่มีการชำระเบี้ย ให้นำใบเสร็จข้อที่สอง ไปแจ้งความ 
                    5. เข้าไปที่ เว็บ คปภ(สำนักงานคุ้มครองผู้ทำประกันภัย) เพื่อทำการร้องเรียน ต้องมีเอการแจ้งความ กับใบเสร็จด้วยนะคะ LINK>>>บริการ Online คปภ
                    6.จากนั้น คภป จะดำเนินการตรวจสอบ ซึ่งเราควรติดตามผล หรือสถานะเรื่องร้องเรียนบ่อยๆค่ะ



2.ตัวแทนของเราลาออกไป ทุกอาชีพก็จะมีการเข้าๆออกๆ เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าตัวแทนประกันออกล่ะ มันดูเหมือนถูกทิ้งลอยแพ หรือเขามักจะเรื่องกันว่า "กรมธรรม์กำพร้า" 
                 วิธีการแก้ปัญหา
                         1. บริษัทจะส่งจดหมายแจ้งว่าตัวแทนเราลาออกแล้ว เราควรโทรเช็คทันทีว่าใครจะเป็นคนมารับช่วงต่อ โทรไปที่ Call Center บริษัทนั้นๆ แต่ตามจริงแล้ว เป็นหน้าที่ของ
ทีมในบริษัทนั้นๆ ที่จะส่งคนมารับช่วงดูแลคุณต่อ เขาจะเป็นคนโทรมาหาแนะนำตัวกับคุณเอง
                        2. ถ้าไม่มีใครโทรมา และความคืบหน้าบริษัทไม่มี ติดต่อตัวแทน ที่เพื่อนคุณ หรือญาติๆคุณไว้ใจ จะบริษัทเดียวกันก็ดี หรือคนละบริษัทก็ได้ คนที่มีจรรยาบรรณพอจะบริการลูกค้าต่อด้วยตัวเอง หากเป็นคนละบริษัท อย่างน้อยเขาจะหาทางออกดีๆให้คุณเอง
                        3. หาใครแทนไม่ได้ ให้แจ้งเรื่องไปทาง Call Center ว่าต้องการชำระเบี้ยด้วยตัวเองจะดำเนินการเช่นไร หากอยากยกเลิก จริงๆไม่แนะนำนะคะ  ลูกค้าต้องศึกษารายละเอียด กรมธรรม์ให้ดี ว่ายกเลิกมาเราจะเสียผลประโยชน์อะไรบ้าง 
                       4. พยายามอย่าทิ้งเวลาการดำเนินงานนานจนเกินไปนะคะ บางกรมธรรม์จะมีข้อแม้ และระยะเวลาว่าเราหยุดส่งเบี้ย หรือไม่มีการเคลื่อนไหว กรมธรรม์นั้นๆจะถูกเปลี่ยนสถานะ หรือยกเลิกทันทีค่ะ (รายละเอียดนี้ ถามจากพนักงานตัวแทนก่อนตกลงทำประกันได้เลยค่ะ)



3.ทำไมไม่ได้เงินคืนตามตกลงบริษัทโกง บริษัทไม่ได้โกงหรอกค่ะ ยืนยันอีกครั้ง แม้มิวจะเคยเขียนในบล็อกไปแล้ว แต่จะย้ำตรงนี้อีกครั้งค่ะ  บางทีเป็นที่ตัวแทนเอง ที่สับเพร่า
               วิธีการแก้ปัญหา
                             สอบถามรายละเอียด กรมธรรม์ให้ชัดแจ้ง ว่ามีเงื่อนไขอะไร คุ้มครองอันไหนจ่ายคืนเท่าไร ปีไหน อะไรบ้างที่จะนำไปสู่ปัญหาการ เป็นโมฆะของกรมธรรม์  จริงๆเป็นหน้าที่ของตัวแทนทุกคนจะต้องแจ้งลูกค้าค่ะ แต่ความใส่ใจ และนิสัยจรรยาบรรณตัวแทนแต่ละคนก็เคร่งต่างกัน เราควรรักษาสิทธิ์ ถามทุกข้อที่สงสัย  อ่านรายละเอียดประกันจนเข้าใจ ทวนความเข้าใจอีกครั้งกับตัวแทน หรือเอาให้ดี โทรถาม Call Center ได้โดยตรงค่ะ  

มิวเคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้วนะคะ ตามอ่านได้เลย >>ถูกคนขายประกันหลอก ถูกโกง ได้เงินแล้วไม่ดูแล หายหัวไปเลย

หรือถ้ามีอะไรมากกว่านี้ ถามมิวมาได้เลยนะคะ จะตอบทุกคำถามค่ะ


#แก้ปัญหาประกันชีวิต
#ตัวแทนโกง
#ตัวแทนลาออก

ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องประกันชีวิตได้ที่

ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396
มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2561

10 เทคนิครวยแบบมหาเศรษฐี ตามแบบฉบับ วอร์เรน บัฟเฟตต์

    วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นชื่อ ของเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพลทางด้าน ตลาดหุ้น เรียกได้ว่า หุ้นบริษัทไหนที่ถูกเจ้าพ่อคนนี้ช้อนซื้อไป จะขึ้นแบบทำกำไรอื้อซ่า แม้บริษัทนั้นจะเป็นบริษัทเล็กๆก็ตาม วอร์เรน บัฟเฟตต์ ไม่ได้มีพรสวรรค์พิเศษ เค้าแค่มีทักษะ และแนวคิดที่พิเศษ พื้นเดิมของเขาไม่ใช่คนร่ำรวย แต่เค้าสามารถเป็นเศรษฐีได้อย่างไร มาดูเทคนิคของเขากัน


10 เทคนิครวยแบบมหาเศรษฐี ตามแบบฉบับ วอร์เรน บัฟเฟตต์

1. ต้องทำงานหนัก วอร์เรน เขาฟันธงเลยว่า ส่วนใหญ่แล้วการทำงานหนักจะนำผลกำไรมาให้ ในขณะที่การพูดมากแต่ไม่ทำ กลับจะนำความยากจนมาให้แทน แบบนี้เข้าตำราว่า อย่ามัวแต่ตั้งท่าชก ให้ชกเลย จึงจะได้คะแนนชนะการต่อสู้

2. อย่าขี้เกียจ เขายกตัวอย่างที่น่าสนใจมาก ว่า  ขนาดกุ้งมังกรตัวโต ถ้ามัวแต่นอนหลับ ยังสามารถถูกกระแสน้ำพัดลอยไปได้  หมายความว่าถ้าคุณไม่ทำอะไรเลย มัวแต่รอคอยความหวัง คุณจะต้องตกอยู่ในวังวนวิกฤตการณ์ทางการเงินนี้ต่อไปอย่างแน่นอน

3. รายรับจากหลายแหล่ง ข้อนี้เป็นเคล็ดลับของมหาเศรษฐีหลายคน ไม่ใช่เฉพาะวอร์เรน เพราะการพึ่งรายได้จากแหล่งเดียว ทำให้ต้องตกอยู่ในความเสี่ยงของภาวะที่ไม่แน่นอน เขาแนะนำให้ทำการลงทุนที่ฉลาดเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม เช่น ถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือน คุณควรมีรายได้ส่วนอื่นจากการลงทุนในรูปแบบอื่น ที่สามารถสร้างรายรับเข้ามาในแต่ละเดือนได้ด้วย

4. ควบคุมรายจ่าย เมื่อไหร่ที่คุณเริ่มจ่ายเงินซื้อ สิ่งที่คุณไม่มีความต้องการจริง คุณก็กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่อาจต้องขาย สิ่งที่คุณต้องการมากที่สุด แทน ดังนั้นคิดและตั้งสติก่อนที่จะจ่ายเงินซื้ออะไรในชีวิตเสมอ

5. ตั้งใจออม วอร์เรนเน้นว่าเราอย่ารอเก็บออมเงินที่เหลือหลังจากที่ได้ใช้จ่ายจนพอใจ แต่เราต้องกันเงินส่วนหนึ่งของรายได้มาเพื่อเก็บสะสมก่อน แล้วจึงนำส่วนที่เหลือไปใช้จ่าย หลายคนมักจะเข้าใจผิด ใช้จ่ายแล้วเหลือจึงนำเข้าแบงก์ ที่จริงต้องนำออกมาออม ก่อนจะไปทำอย่างอื่น


6. งดกู้ยืม คนที่กู้หนี้ยืมสินจากคนอื่น มักจะตกเป็นทาสของคนที่คุณไปกู้ยืม ดังนั้นต้องยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง พยายามมีชีวิตอยู่ตามอัตภาพเท่าที่เราหามาได้ อย่าไปสร้างหนี้สร้างสิน โดยไม่จำเป็น พยายามดำรงชีวิตอยู่ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง

7. จัดระบบบัญชี เขาใช้คำคมมาเปรียบเทียบว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะถือร่มกันฝน ตราบใดที่รองเท้าที่คุณสวมใส่นั้นยังมีรูอยู่ เพราะมันทำให้เปียกเหมือนกัน ? นั่นคือต้องอย่าทำให้มีจุดรั่วไหลของบัญชี

8. หมั่นตรวจสอบ วอร์เร็นให้ความสำคัญกับการตรวจสอบมาก เพราะว่าค่าใช้จ่ายเล็ก น้อย จะเปรียบเสมือนรูรั่วของเรือ รูรั่วเพียงเล็ก แต่นานไปก็สามารถจมเรือใหญ่ทั้งลำได้ ดังนั้นอย่ามองข้ามค่าใช้จ่ายเล็ก น้อย เหล่านี้ ต้องให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่ายทุกชนิดเสมอ


9. จัดการความเสี่ยง ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่นักธุรกิจไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ตราบเท่าที่ยังโลดแล่นอยู่ในธุรกิจ เขากล่าวว่า เราไม่ควรจะทดสอบความลึกของแม่น้ำที่จะข้าม ด้วยขาสองข้างพร้อม กัน เพราะเราอาจจมน้ำตายได้ ในการจัดการความเสี่ยง เราต้องมีแผนสำรองเสมอ ไม่มีใครสามารถทำนายอนาคตได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราต้องบริหารความเสี่ยงที่กำลังเผชิญอยู่อย่างชาญฉลาดที่สุด 
สำรวจความเสี่ยงด้วยตัวคุณเองตอนนี้เลย <<<คลิ๊ก

10. บริหารการลงทุน อย่าเอาเงินทั้งหมดไปทุ่มลงทุนในสิ่งเดียวกัน เปรียบเหมือนกับ อย่าวางไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าเดียวกัน เพราะถ้าตะกร้าหล่นจะทำให้ไข่แตกหมดทุกใบ ดังนั้นเราต้องกระจายความเสี่ยง เพราะธุรกิจหนึ่งอาจจะอยู่ในช่วงขาลง แต่อีกธุรกิจหนึ่งอาจจะอยู่ในขาขึ้น ทำให้ผลประโยชน์โดยรวมยังอยู่ได้ (ทำกรมธรรม์หลายใบก็ได้นะ : อันนี้ วอร์เรน เขาไม่ได้พูด)


ทีนี้ก็จะเป็นที่ตัวบุคคลอย่างเราๆแล้วล่ะ ว่าจะนำแนวคิดทั้ง 10 มาใช้จริงในชีวิตหรือไม่
แหม่......แต่ถ้าอยาก วางแผนให้รัดกุมมันต้องมีที่ปรึกษา นะคะคุณผู้ชม (ชูมือโบกไหวๆเห็นเราไหม)
#วอร์เรนบัฟเฟตต์
#10เทคนิครวยแบบมหาเศรษฐี
#วางแผนการเงิน
#จัดการความเสี่ยงทางการเงิน


ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องประกันชีวิตได้ที่

ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396
มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844