เพราะว่าสมองนั้นบอบบางและอ่อนนุ่มมาก ร่างกาจึงปกป้องสมองด้วย กระโหลกศรีษะ หน้าที่และความสามารถของสมองอีกมากมายยังคงเป็นความลับสำหรับวงการแพทย์ในยุคปัจจุบัน สมองแต่ละส่วนจะควบคุมการทำงานของร่างกายต่าง ๆ กัน สมองใหญ่ทั้ง 2 ข้าง สมองน้อย และก้านสมองรวมกัน คิดเป็นเนื้อเยื่อของสมองเกือบร้อยละ 90 ทำหน้าที่ควบคุมความคิด การเคลื่อนไหว รวมทั้งความรู้สึกสัมผัสและการตอบสนองต่อสิ่งเร้า สมองน้อยเป็นศูนย์ควบคุมความสมดุลในการเคลื่อนไหวของร่างกาย ก้านสมองเป็นส่วนเชื่อมระหว่างสมองกับไขสันหลัง มีหน้าที่ควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น การเต้นของหัวใจ การหายใจ เป็นต้น
“แกนสมองตัวที่เราตรวจหลักๆ คือการตรวจการไม่หายใจ เพราะว่าศูนย์การหายใจเป็นตัวสำคัญของชีวิต ถ้าไม่ทำงานโดยถาวรแล้ว ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ซึ่งถ้าตรวจแล้วพบว่าศูนย์การหายใจสูญเสียถาวร ทั่วโลกก็ยอมรับว่าสมองตายและเสียชีวิตแล้ว โดยจะมีการตรวจ 2 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 6 ชั่วโมง ถ้าอายุต่ำกว่า 18 ถึง 1 ขวบ ก็ 12 ชั่วโมง ต่ำกว่า 1 ขวบก็ 24 ชั่วโมง เพราะพวกที่อายุน้อย สมองอาจจะมีความทนทานมากกว่า”
นายแพทย์สุกิจ อธิบายต่อว่า เมื่อสมองตายแล้ว หัวใจอาจจะยังเต้นอยู่หากได้รับการกระตุ้น แต่ 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยกลุ่มนี้ หัวใจจะหยุดเต้นภายใน 3 วัน เพราะแกนสมองคือส่วนที่ควบคุมการเต้นของหัวใจ จริงอยู่ที่ปฏิกิริยาสนองตอบของคนไข้อาจจะมีอยู่ เพราะมันเป็นการสั่งการจากไขสันหลัง แต่เรื่องของการรับรู้ที่มาจากสมองนั้นไม่มีแล้ว ซึ่งประเด็นก็คือต้องมีการตรวจและพิสูจน์ว่าคนไข้มีอาการสมองตายจริงๆ ไม่ใช่เกิดจากสิ่งที่มีอาการคล้ายๆ กัน
ประโยชน์ที่ได้จากการกำหนดเกณฑ์สมองตายคือ ผู้ที่ถูกวินิจฉัยว่าสมองตายนั้น ในระยะแรก อวัยวะต่างๆ จะยังทำงานได้ดี หากพูดคุยกับทางญาติผู้ตายและยินยอมให้บริจาคอวัยวะ อวัยวะจากผู้ป่วยสมองตายซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 1,000 รายต่อปี ก็จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยคนอื่นๆ ทุกวันนี้ มีคนไข้ที่รอบริจาคอวัยวะในประเทศไทยอยู่ประมาณ 2,500 คน แต่อวัยวะที่ได้จากการบริจาคของคนไข้ที่มีอาการสมองตายนั้นมีไม่เกินปีละ 100 ราย ซึ่งคนไข้ที่รออวัยวะเหล่านั้น จำเป็นที่จะต้องได้การบริจาคจากคนไข้ที่เสียชีวิตด้วยอาการสมองตายเท่านั้น
สมองตายในมุมมองกฎหมาย ไม่จัดเป็นการตาย เพราะในการพิสูจน์ความตายของบุคคลก็คือต้องตายตามธรรมชาติ โดยหมดลมหายใจและหัวใจหยุดเต้นอย่างสิ้นเชิง จึงทำให้เกิดข้อโต้แย้งกันในทางหลักวิชาการแพทย์ซึ่งถือว่าผู้ป่วยสมองตายคือผู้ที่ตายแล้วในทางการแพทย์ กับหลักวิชานิติศาสตร์ที่ยังไม่ยอมรับกันว่าการตายโดยอาการสมองตายนั้นเป็นการตายแล้วอย่างแท้จริง รวมถึงญาติผู้ป่วย ที่ไม่อาจรับคำตัดสินนี้ได้ แม้การยุติการช่วยต่อชีวิตผู้ป่วยโดยการถอดเครื่องมือต่างๆ ออกจะมิใช่เป็นการลงมือฆ่าโดยตรง แต่แพทย์ก็ยังเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่าฆ่าผู้อื่น เพราะบุคคลทั่วไปยังมีความคิดกันว่าแพทย์มีหน้าที่ต้องช่วยชีวิตผู้ป่วย หากแพทย์ยุติการช่วยชีวิตเพื่อป้องกันการตายก็อาจถือว่าเป็นการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยการละเว้นการกระทำได้เช่นกัน
จากประสบการณ์โดยตรงของมิวที่ผ่านมา กับการสูญเสียญาติ และบุคคลที่รัก แม้จะไม่ใช่สมองตายโดยตรง แต่การที่สมองส่วนใหญ่หยุดการทำงานไป สาเหตุคือ การล้มของผู้สูงวัย ทำให้เลือดคั่งในสมอง และพื้นที่สมองบางส่วนถูกทำลาย ผู้ป่วยจะไม่ลืมตา แต่ยังมีบ้างที่ขยับร่างกาย ริมฝีปาก ซึ่งแน่นอนว่าญาติคนไข้ทุกคน คิดว่านั่นคือสัญญาณที่ดี แต่อันที่จริงคือกลไกร่างกายเท่านั้น ผู้ป่วยไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว แค่รอวันที่กลไกทุกอย่าง ค่อยๆหยุดทำงานลงด้วยตัวเอง ซึ่งก็คือ 3 วันจริงๆ
มันเร็วมากสำหรับคนที่ยังคุยกันก่อนนอน ว่าเราจะมีกิจกรรมอะไรด้วยกันในวันพรุ่งนี้ แต่สามชั่วโมงถัดมาก็ทำให้ได้รู้ว่า พรุ่งนี้สำหรับพวกเรา มันไม่มีอีกต่อไปแล้ว ทำวันนี้ให้ดีที่สุด อย่าผลัดเป็นวันพรุ่งนี้เลยค่ะ บางทีพรุ่งนี้ ทุกอย่างก็สายเกินไป
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.manager.co.th
ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องประกันชีวิตได้ที่
ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396
มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844