บทความที่ได้รับความนิยม

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2561

อาการแพนิค กับ โรคแพนิค ความเหมือนที่แตกต่าง

                 

               หลายๆคน อาจจะรู้จัก โรคแพนิค หรือ โรคตื่นตระหนก (Panic disorder)* หรือบ้างก็เรียกว่า “โรคหัวใจอ่อน” หรือ “โรคประสาทลงหัวใจ”  เชื่อว่าความเข้าใจในตัวอาการ จะคิดว่าเป็นเพียงอาการตื่นตระหนก เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ได้เป็นอาการทางจิต เป็นภาวะวิตกกังวลหรือมีความรู้สึกกลัวอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันทีโดยไม่คาดคิดมาก่อน คือ อยู่ ๆ ก็เกิดขึ้นมาเองโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งอาการแต่ละครั้งจะเป็นอยู่เพียงไม่นานก็จะหายไป และอาการจะมีลักษณะกำเริบซ้ำ ๆ ได้อีกเป็นครั้งคราว ซึ่งจะรู้จักในลักษณะของอาการแพนิคเท่านั้น

                   แต่บทความนี้จะไม่น่าสนใจถ้าเป็นเพียงแค่อาการแพนิคทั่วไป ในบทความนี้เราจะกล่าวถึงโรคแพนิคที่ไม่ใช่อาการ ซึ่งในความเป็นจริงของโรคนี้ผู้ป่วย จะมีอาการหวาดกลัวอย่างรุนแรงทั้งที่ตัวเองไม่ได้เผชิญหน้าหรือตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอีกด้วย จึงทำให้มีอาการแพนิคเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคแพนิครู้สึกกลัวและละอาย เนื่องจากไม่สามารถควบคุมตัวเองหรือดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

                    โรคแพนิคมักพบได้บ่อยในวัยรุ่นตอนปลายหรือผู้ที่ย่างเข้าวัยผู้ใหญ่ตอนต้น โดยผู้หญิงจะป่วยมากกว่าผู้ชาย อย่างไรก็ตาม อาการแพนิคไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้ป่วยเป็นโรคแพนิคทุกราย เนื่องจากอาการดังกล่าวเกิดขึ้นและหายไปเมื่อเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดอาการแพนิคจบลงหรือผ่านพ้นไปแล้ว ต่างจากผู้ป่วยโรคแพนิคที่มักเกิดอาการแพนิคหรือตื่นตระหนกอยู่เสมอเป็นเวลายาวนาน รวมทั้งมักมีปัญหาสุขภาพจิตอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น โรคซึมเศร้า หรือใช้สารเสพติดอื่น ๆทั้งนี้ ผู้ที่เกิดอาการแพนิคควรพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาการแพนิคถือว่าเป็นปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง 
ผู้ที่เกิดอาการดังกล่าวจะจัดการตัวเองได้ยาก ทั้งนี้ หากไม่ได้รับการรักษาให้หาย อาการแพนิคจะแย่ลงเรื่อย ๆ 



                    อาการของโรคแพนิค ผู้ป่วยโรคแพนิคจะรู้สึกหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกอย่างไม่มีสาเหตุ ซึ่งเรียกว่าอาการแพนิค โดยอาการนี้จะเกิดขึ้นกะทันหัน รวมทั้งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แพนิคเป็นอาการที่รุนแรงกว่าความรู้สึกเครียดทั่วไป มักเกิดขึ้นเป็นเวลา 10-20 นาที บางรายอาจเกิดอาการแพนิคนานเป็นชั่วโมง โดยผู้ป่วยโรคแพนิคจะเกิดอาการ ดังนี้

  1. หัวใจเต้นเร็ว
  2. หายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนขาดอากาศ
  3. หวาดกลัวอย่างรุนแรงจนร่างกายขยับไม่ได้
  4. เวียนศีรษะหรือรู้สึกคลื่นไส้
  5. เหงื่อออกและมือเท้าสั่น
  6. รู้สึกหอบและเจ็บหน้าอก
  7. รู้สึกร้อนวูบวาบ หรือหนาวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
  8. เกิดอาการเหน็บคล้ายเข็มทิ่มที่นิ้วมือหรือเท้า
  9. วิตกกังวลหรือหวาดกลัวว่าจะตาย รวมทั้งรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตได้
  10. กังวลว่าจะมีเหตุการณ์อันตรายเกิดขึ้นในอนาคต
  11. หวาดกลัวและพยายามหลีกเลี่ยงสถานที่หรือสถานการณ์อันตรายที่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวในอดีต

                 สาเหตุของโรคแพนิคยากจะระบุได้อย่างชัดเจนเช่นเดียวกับปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคแพนิคอาจเกิดจากปัจจัยทางกายภาพและปัจจัยทางสุขภาพจิต ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
  • ปัจจัยทางกายภาพ ผู้ป่วยโรคแพนิคอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งประกอบด้วยการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ความผิดปกติของสมอง และการได้รับสารเคมีต่าง ๆ ดังนี้
  • การถ่ายทอดทางพันธุกรรม ผู้ที่บุคคลในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคแพนิคหรือปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ โดยบุคคลนั้นมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ใกล้ชิดกันมาก ก็เสี่ยงป่วยเป็นโรคแพนิคได้ โดยผู้ป่วยอาจได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากพ่อหรือแม่ หรือได้รับจากทั้งพ่อและแม่
  • ความผิดปกติของสมอง โดยทั่วไปแล้ว สมองจะมีสารเคมีที่เรียกว่าสารสื่อประสาท หากสารสื่อประสาทภายในสมองไม่สมดุล อาจทำให้เกิดอาการแพนิคได้ ทั้งนี้ โรคแพนิคอาจเกิดจากการทำงานของสมองส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการตอบสนองแบบสู้หรือหนีของร่างกาย (Fight or Flight) เนื่องจากหัวใจจะเต้นเร็วขึ้นเมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อันตราย
  • การได้รับสารเคมีต่าง ๆ ผู้ที่ใช้สารเสพติด ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน รวมทั้งผู้ที่สูบบุหรี่ อาจป่วยเป็นโรคแพนิคได้ ทั้งนี้ นักวิจัยบางรายยังสันนิษฐานว่าโรคแพนิคอาจเกี่ยวข้องกับความไวของระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กล่าวคือ เมื่อสูดอากาศที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปมาก ก็จะกระตุ้นให้เกิดอาการแพนิคได้ อย่างไรก็ตาม การหายใจให้ถูกวิธีจะช่วยบรรเทาอาการแพนิคให้หายหรือทุเลาลงได้
  • ปัจจัยทางสุขภาพจิต เหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นในชีวิตส่งผลให้เกิดโรคแพนิคได้ โดยเฉพาะการสูญเสียหรือพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เกี่ยวเนื่องกับอาการแพนิค ผู้ป่วยจะรู้สึกหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หรืออาจเกิดอาการดังกล่าวต่อไปเรื่อย ๆ ยาวนานเป็นปี จนนำไปสู่การป่วยเป็นโรคแพนิค นอกจากนี้ ผู้ที่เกิดอาการแพนิคมีแนวโน้มที่จะคิดว่าอาการป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์อันตรายต่าง ๆ เช่น ผู้ที่เกิดอาการใจสั่นจากการดื่มกาแฟ จะคิดว่าอาการใจสั่นนั้นเกิดจากอาการหวาดกลัว

                        

                     การป้องกันโรคแพนิคโรคแพนิคเป็นปัญหาสุขภาพทางจิตที่ป้องกันให้เกิดขึ้นได้ยาก อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เกิดอาการแพนิคหรือป่วยเป็นโรคนี้สามารถดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดความเครียดมากขึ้น และเกิดอาการแพนิคน้อยลงได้ ดังนี้


  • งดหรือลดดื่มเครืองดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา โคล่า หรือช็อกโกแลต
  • ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานยาหรือสมุนไพรรักษาอาการป่วยต่าง ๆ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอาจมีส่วนประกอบที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพนิคได้
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบถ้วน
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อลดอาการง่วงเซื่องซึมระหว่างวัน
  • เข้ารับการรักษาจากแพทย์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งฝึกรับมือกับความเครียด เช่น ฝึกหายใจลึก ๆ หรือเล่นโยคะ เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น
  • ฝึกคิดหรือมองโลกในแง่บวก ลองนึกถึงสถานที่หรือเหตุการณ์ที่ทำให้จิตใจสงบหรือผ่อนคลาย และเพ่งความสนใจไปที่ความคิดดังกล่าว วิธีนี้จะช่วยลดความฟุ้งซ่านและอาการวิตกกังวลต่าง ๆ ของผู้ป่วย รวมทั้งช่วยปรับความคิดของผู้ป่วยที่มีต่อตนเองและสิ่งรอบข้างให้ดีขึ้น
  • ควรยอมรับว่าตัวเองรับมือกับอาการแพนิคได้ยาก เนื่องจากการกดดันตัวเองและพยายามระงับอาการแพนิคนั้นจะทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิม ทั้งนี้ ควรทำความเข้าใจว่าอาการแพนิคไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิต แต่เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นและหายไปได้
  • เผชิญหน้ากับความวิตกกังวลที่เกิดขึ้น โดยลองหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว
  • เมื่อเกิดอาการแพนิคขึ้นมา ควรพยายามตั้งสติ พุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย รวมทั้งหายใจให้ช้าลง โดยนับหนึ่งถึงสามเมื่อหายใจเข้าหรือออกแต่ละครั้ง เนื่องจากการหายใจเร็วจะทำให้อาการแพนิคกำเริบมากขึ้น

                            โรคแพนิคเป็นโรคที่รักษาได้ โดยผู้ป่วยต้องไปพบแพทย์และเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ป่วยโรคแพนิคจะหายได้หากได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มป่วยเป็นโรคดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษา อาจได้รับผลกระทบในการดำเนินชีวิตประจำวัน รวมทั้งเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพทางจิตอื่น ๆ ตามมา ดังนี้
  • โรคกลัวที่ชุมชน (Agoraphobia) ผู้ป่วยโรคแพนิคสามารถป่วยเป็นโรคกลัวที่ชุมชนได้ โดยโรคนี้เป็นปัญหาสุขภาพทางจิตเกี่ยวกับอาการกลัวชุมชนหรือที่สาธารณะที่อาจเกิดเหตุการณ์อันตราย และหนีออกออกมาได้ยาก ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกกังวล และไม่กล้าเดินทางไปข้างนอกเพียงลำพังได้ เนื่องจากผู้ป่วยจะกังวลว่าอาจเกิดอาการแพนิคเมื่อออกไปข้างนอก แล้วทำให้รู้สึกขายหน้าที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองให้เป็นปกติได้ หรืออาจหวาดกลัวว่าจะได้รับความช่วยเหลือไม่ทันการณ์หากอาการแพนิคกำเริบขึ้นมา ทั้งนี้ ผู้ป่วยอาจเกิดอาการโฟเบียอื่น ๆ ได้ เช่น ผู้ป่วยอาจกลัวที่แคบ เนื่องจากเคยเกิดอาการแพนิคเมื่ออยู่ที่แคบ
  • พฤติกรรมหลีกเลี่ยงสิ่งต่าง ๆ ผู้ป่วยอาจเลี่ยงหรือไม่ทำสิ่งต่าง ๆ หากสิ่งนั้นจะทำให้เกิดอาการแพนิค พฤติกรรมหลีกเลี่ยงนี้ส่งผลต่อการใช้ชีวิต ทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้
  • ปัญหาอื่น ๆ  ผู้ป่วยโรคแพนิคเสี่ยงใช้สารเสพติดหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้สูง ทั้งนี้ การสูบบุหรี่หรือบริโภคเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีนก็ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดความเครียดหรือรู้สึกกังวลมากขึ้น ส่วนผู้ที่กำลังหยุดใช้ยารักษาโรคบางอย่างหรือถอนยาเสพติด อาจเกิดความวิตกกังวลสิ่งต่าง ๆ มากขึ้นอันเป็นผลข้างเคียงจากการถอนยา
                      ผู้ป่วยโรคแพนิคที่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง จะมีอาการแพนิคน้อยลงและสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ การรักษาโรคแพนิคประกอบด้วยจิตบำบัดและการรักษาด้วยยา โดยการรักษาแต่ละวิธีขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ป่วย ประวัติการรักษา ความรุนแรงของโรค และความพร้อมในการเข้ารับการรักษากับนักจิตบำบัดหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง



                      แต่โรคทางจิตเวช ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้อยกเว้นในการเคลมประกัน ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับแผนประกันแต่ละแผนด้วย เมื่อรู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคทางจิตเวชแล้วทำประกันสุขภาพไว้แนะนำให้หยิบกรมธรรม์ขึ้นมาอ่านความคุ้มครอง และข้อยกเว้นต่างๆ หรือโทรถามบริษัทประกันเพื่อความแน่ใจ ซึ่งแผนประกันที่คุ้มครองผู้ที่ป่วยเป็นโรคทางจิตเวชนั้นก็มีอยู่ด้วยเช่นกันแต่จะมีราคาที่สูงอยู่มาก เนื่องจากภาวะโรคทางจิตเวชต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาที่ยาวนาน ต้องพบหมอเรื่อยๆจนกว่าอาการจะหายเป็นปกติ ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาเป็นปีๆ บางคนที่มีอาการโรคทางจิตเวชที่รุ่นแรง เมื่อเข้ารับการรักษาแต่ละครั้งจะต้องจ่ายค่ารักษาครั้งละประมาณ 3,000 - 7,000 บาท เลยทีเดียว เนื่องจากค่าหมอ และยาที่ใช้ในการรักษาโรคทางจิตเวชนี้ก็มีราคาที่สูงเช่นกัน

                   หรืออีกทางเลือกหนึ่ง คือ ประกันสังคม ที่คลอบคลุมโรคทางจิตเวชด้วย ให้คุณสามารถเบิกค่ารักษาภาวะโรคซึมเศร้าได้ เพียงนำบัตรประกันสังคมไปยื่นให้กับโรงพยาบาลเพื่อเบิกค่ารักษา ทั้งนี้อาจมีค่าใช้จ่ายส่วนอื่นที่คุณต้องควักเงินจ่ายเอง เช่น ค่ายาเฉพาะทาง ที่มีราคาสูงตามชนิดและความแรงของยา


#AIA #เข้าใจชีวิต #เข้าใจคุณ

ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องประกันชีวิตได้ที่

ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396

มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2561

การอาศัยเงินคนอื่นในการรักษาตัวมันคือความอึดอัดอย่างสุดขีด!!!



                   คลิ๊กฟังเรื่องราวบนชื่อคลิป แล้วจะรู้วาในยามที่เราเจ็บป่วย เราไม่มีเงินเป็นของตัวเอง มันต้องแบกรับความรู้สึกอะไรบ้าง จากใจมิว มิวฟังมิวคิดว่า ผู้ชายคงรักแหละ ถึงยอมทุ่มเงินเพื่อรักษาให้
ในชีวิตจริง คนทั่วไปจริงๆ ใครบ้างที่จะยืนมือมาช่วยถ้าคุณไม่ได้ทำประกันชีวิตเอาไว้ ทุกคนล้วนทำเพื่อตัวเอง และความอยู่รอดของตัวเอง 
                 
                  และถึงแม้เขาคุณ ถ้าให้โดยกู้ยืมแน่นอนว่าต้องเป็นดอกเบี้ยที่เราต้องแบก ถ้าให้โดยเสน่หา แบบเคสนี้ เมื่อใดก็ตามที่เขายังพอมีเงิน ที่จะหมุนในบริษัท ในชีวิต การทวงท้วงถามคงไม่เกิด ถามว่าเจตนาไหม ไม่เชิงเจตนา แต่ลึกๆก็คงแอบเสียดาย หรือบางทีอาจจะรู้สึกว่านี่คือไพ่ตายของคุณ เมื่อเผลอ หรือโกรธ เลยมักจะโพร่งออกมา
         
                แน่นอนว่า คนที่ต้องทนฟังย้ำๆ ซ้ำๆ มันเจ็บใจ แค่ไหน ไม่มีหนี้ ก็เหมือนมี อยากหนีอยากจะไปก็ใจไม่ด้านพอ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ปลงไม่ตก หาความสุขไม่เจอ นี่ล่ะ คือสาเหตุที่ มิวบอกทุกคนให้ทำปะกันชีวิต เมื่อมีเหตุการณ์ แบบนี้เกิด โยนความลำบากนี้ให้ บริษัทประกันไปซะ บุญคุณดอกเบี้ย ไม่ต้องมีให้ลำบากใจ ทำอย่างเดียวคือนอน รับการรักษา ทำใจให้สบาย แล้วฟื้นร่างกายไวๆ

               แต่ก็อีกนั่นแหละ นี่คือเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อไรที่มิวพยายามบอกเหตุผลกับลูกค้า ลูกค้ามักจะบอกปัดออกไป เพราะเหตุผลที่ว่าฉันแข็งแรง ฉันมีประกันสังคม ฉันโอเค ลูกเป็นข้าราชการ มิวไม่เหนื่อยหรอกค่ะ ที่จะอธิบายเหตุผลข้อโต้แย้งซ้ำๆ มิวแค่อยากขอให้ฟังมิวบ้าง ไม่ใช่ว่ามิวเอาแต่จะขายๆ  ไม่ซื้อมิว ไม่เป็นไรค่ะลูกค้ามีสิทธิ์ที่จะเลือก แต่ได้โปรดฟังเคสที่อธิบายสักนิด 

              มิวไม่ได้แช่งนะคะ มิวแค่ต้องการให้ลูกค้า วางแผนตรงส่วนนี้ไว้ มันไม่ใช่เรื่องดี กับการไม่ยอมเสียส่วยน้อย แต่พอเกิดเหตุขึ้นจริง มาเรียกมิวไป มิวแก้ไขอะไรไม่ได้ค่ะ คนที่เป็นแล้ว มีการวินิจฉัยเกิดขึ้นแล้วก่อนทำประกัน โรคๆนั้นจะไม่อยู่ในความคุ้มครองทันที ถ้าคุณคิดว่ารับความกดดัน ความเครียดที่จะเกิดจากการกู้ยืมเงิน จากคนอื่นมาไหว มิวก็จนเหตุผลที่จะพูด

             ได้โปรดอย่าลืมว่า ทุกครั้งที่มีการเจ็บป่วยเกิดขึ้น เราจะเปราะบางเป็นพิเศษ ความอดทนที่มีจะลงหลายเท่า ในวันนั้นคุณจะนึกถึงมิว แต่มิวก็ทำได้แค่ไปเยี่ยม พูดคุย มิวไม่สามารถสร้างประกันฉบับที่คุณต้องการได้อีกต่อไปแล้วค่ะ เชื่อมิวเถอะค่ะ  ทำประกันคุ้มครองค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไว้ จะจ่ายกี่ปีให้หลัง หรือไม่จ่าย ยังไงก็ไม่ขาดทุน 

ขอขอบคุณรายการ พุทธทอร์ค พุธโทร
ใครฟังไม่ได้ คลิ๊กตรงนี้เลย คลิ๊กเลย

#AIA #เข้าใจชีวิต #เข้าใจคุณ

ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องประกันชีวิตได้ที่

ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396

มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2561

รับมืออย่างไรดีกับภาวะ HEAT STROKE


              "ร้อนอย่างกับซ้อมตกนรก" คำพูดเล่นที่ดูจะไม่เกินจริง แต่อันที่จริงก็ไม่มีใครรู้นะว่านรกร้อนแค่ไหน ช่วงเดือน เมษยน ถึง มิถุนายน ของทุกปี จะเป็นช่วงที่ประเทศไทยสัมผัสอากาศร้อน บางจังหวัดทะลุไป 40 กว่าองศา ทั้งๆที่ตามปกติสภาพอากาศประเทศไทยเรานั้น..........ก็......ร้อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ช่วงเดือนนี้ร้อนยิ่งกว่า หน้าร้อนแบบนี้ บางคนต้องเจอกับ ภาวะ HEAT SROKE หรือ บางคนเรียกว่า โรคลมแดด

               HEAT SROKE เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถลดอุณหภูมิกายลงได้ และเป็นผลให้เกิดอันตรายต่อระบบอวัยวะน้อยใหญ่ เป็นภาวะที่ต้องได้รับการบำบัดอย่างทันท่วงทีเนื่องจากอาจทำให้เสียชีวิตได้สูงมาก บุคคลที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ทหารเกณฑ์ ผู้ที่เข้ารับการฝึกทางทหารโดยปราศจากการเตรียมตัว นักกีฬาสมัครเล่น และ ผู้ที่ทำงานในสภาพอากาศที่ร้อนชื้น


          ผู้ป่วยที่เป็น HEAT SROKE  มีอาการ 3 อย่าง คือ 
  1. มีไข้สูง (อุณหภูมิแกนสูงกว่า 40.5oC)
  2. ระบบประสาทส่วนกลางทำงานผิดปกติ และไร้เหงื่อ  แต่ระยะต้นๆ มักมีเหงื่อออกมาก จนกระทั่งในที่สุดก็จะถึงภาวะไร้เหงื่อซึ่งเกิดจากการพร่องปริมาตรของสารน้ำและต่อมเหงื่อทำงานผิดปกติ 
  3. มีการทำงานของระบบประสาทส่วนกลางผิดปกติ                                                                              เช่น เป็นลม, กระวนกระวาย, พฤติกรรมผิดปกติ, ก้าวร้าว, ประสาทหลอน หรือหมดสติ 
       
          สาเหตุหลักๆที่แน่นอนคือ สภาพอากาศ  แต่ทั้งนี้ภายในร่างกายของมนุษย์จะมีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความร้อนภายในร่างกายขึ้น โดยความร้อนที่เกิดขึ้นนั้นจะระบายออกทางเหงื่อ แต่หากอากาศภายนอกร้อนกว่าอุณหภูมิของร่างกาย ร่างกายก็จะไม่สามารถระบายความร้อนออกมาได้ 

         ภาวะแทรกซ้อนของโรคนี้ อาจพบภาวะหัวใจวาย, ปอดบวมน้ำ และการทรุดลงของระบบหัวใจ และหลอดเลือด แม้ในผู้ป่วยที่อายุน้อยและมีสุขภาพดีมาก่อน การมีภาวะความดันโลหิตต่ำ ปริมาณเลือดออกจากหัวใจลดลง

       การปฐมพยาบาลเบื้องต้นการช่วยเหลือผู้ที่มีอาการHEAT SROKE 
  1. ให้นอนราบ ยกเท้าสูงทั้งสองข้าง 
  2. สังเกตจากมีอาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะ มีเหงื่อออกผิดสังเกต มีอาการงง พูดช้าลงควรพาผู้ป่วยไปพักในที่ร่ม หรือในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเททันที 
  3. ใช้น้ำเย็นเช็ดตัวให้ผู้ป่วย หรือใช้กระบอกพ่นละอองน้ำพรมให้ทั่วตัวผู้ป่วย ซึ่งอาจใช้ กระบอกพลาสติกเช่นเดียวกับการพรมน้ำเสื้อผ้าเพื่อเตรียมรีด ตั้งพัดลมให้เป่าที่ตัวผู้ป่วยโดยตรงตลอดเวลา
  4. อย่าปกคลุมตัวผู้ป่วยด้วยผ้าแล้วทำให้เปียก เนื่องจากจะขัดขวางการระเหยของน้ำจากผิวหนัง
  5. ควรวางห่อน้ำแข็งไว้ ณ บริเวณซอกง่ามขาและรักแร้ด้วย

              เนื่องจากอาการในช่วงนี้จะคืบหน้าไปสู่อาการแบบรุนแรงอย่างรวดเร็ว เพราะร่างกายจะพยายามนำเลือดไปเลี้ยงที่ผิวหนังเพื่อให้เหงื่อออก และไปเลี้ยงไตเพื่อให้ปัสสาวะออก แต่ก็ไม่เพียงพอ สุดท้ายเลือดก็จะไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอด้วยเช่นกัน ซึ่งหากให้การช่วยเหลือไม่ทันเวลาอาการอาจจะรุนแรงและมีอาการไตวายได้ ค่ะ

             ซึ่งอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นหากเป็น HEAT SROKE  แบบรุนแรงอัตราการเสียชีวิตก็จะสูง แต่หากได้รับการปฐมพยาบาลที่ถูกวิธีตั้งแต่ต้นก็จะลดโอกาสเสี่ยงลงไปได้ แอร์ที่บ้านมีเปิดไปเลยค่ะ ถ้าให้เลือกระหว่างร้อน แล้วเจอกับ HEAT SROKE  กับเย็น ที่เจอแค่ค่าไฟ เลือกความเย็นไปเถอะค่ะ อย่าลืมทากันแดด ใส่หมวก ถือร่มทุกครั้งที่ออกกลางแจ้งนะคะ แสงแดดเปรี้ยงๆ ไม่ีอะไรดีกับร่างกายเราค่ะ 

            


           ขอบคุณข้อมูลจาก
            http://www.menaddiction.com
            ttps://med.mahidol.ac.th

ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องประกันชีวิตได้ที่

ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม

LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396

มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2561

(ข่าว) กรมการแพทย์ เผยผลการทดลอง สมุนไพรหมอเเสง ไม่ยับยั้งเซลล์มะเร็ง!!!


        วันที่ 24 เม.ย. 61 ที่กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี หลังจาก นพ.ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ , นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ , นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และนายแสงชัย แหเลิศตระกูล หรือหมอแสง ได้หารือกันในเรื่องผลการทดลองของกรมการแพทย์ ว่าสมุนไพรของหมอแสงนั้นสามารถยับยั้งมะเร็งได้หรือไม่

 ผลการทดลองในหลองทดลอง ยับยั้งเซลล์มะเร็งไม่ได้

          หลังจากหารือเสร็จ เมื่อเวลา 12.00 น. นพ.ณรงค์ ก็กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “กรมฯ ได้นำตัวอย่างสมุนไพรนายแสงชัยมาทดลองในลักษณะตัวยาที่มีความเข้มข้นต่างกัน แยกเป็นที่อยู่ในสารน้ำ ในเลือด และปริมาณที่มีความเข้มข้นสูงๆ แล้วนำสมุนไพรนี้ไปทดสอบกับเซลล์มะเร็ง 7 แบบ คือ มะเร็งเต้านม 3 ชนิด มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ และมะเร็งกระเพาะอาหาร

“ผลการทดลองในหลอดทดลองพบว่า ฤทธิ์ของสมุนไพร ไม่สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ แต่กรมการแพทย์แผนไทยฯ ก็ได้ศึกษาต่อในเรื่องของคุณภาพชีวิต ก็พบว่าสามารถใช้ได้”



        ส่วนจะมีการวิจัยในสัตว์ทดลอง หรือคนต่อไปหรือไม่  นพ.ณรงค์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมีการพูดคุยกันอีก เพราะมีหลายมุมมอง แต่สิ่งที่คุยกับหมอแสงไปแล้ว ก็คือ ผู้ป่วยอย่ารักษาด้านใดด้านหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยในระยะสุดท้าย จะรับยานายแสงชัย เพื่อประคับประคองก็ได้ แต่หากเป็นระยะต้น ควรรักษาแบบคู่ขนาน ซึ่งนายแสงชัยก็เห็นด้วย

ก่อนที่ นพ.ณรงค์ สรุปว่า จากผลการทดลอง สมุนไพรของหมอแสงนั้นไม่มีพิษ สามารถเข้าสู่ร่างกายไม่เป็นพิษ แต่ไม่ได้ฆ่าเซลล์มะเร็ง


หมอแสง โต้ ผลที่ออกมา เป็นเพียงการวิจัยในหลอดทดลอง

       ส่วนหมอแสง กล่าวว่า สิ่งที่กรมการแพทย์ฯ นำไปทดลองนั้น ก็เป็นเพียงการวิจัยในหลอดทดลอง เพราะเมื่ออยู่ในหลอดทดลองก็อยู่แค่นั้น แต่ถ้าเข้าร่างกายแล้วมันก็ไปตามเส้นเลือด

       ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า ยืนยัน ถ้าไม่ถูกห้าม ก็แจกสมุนไพรต่อไป เพราะเป็นความหวังของประชาชน ส่วนเรื่องสูตรจะขายให้ต่างชาติหรือไม่นั้น ก็ไม่แน่ หากหมอไทยบอกไม่ได้ผล เราจะเก็บสูตรไว้ทำไม ที่ผ่านมามี รพ.จากอเมริกา มาเฝ้าทุกระยะเพื่อติดต่อขอซื้อ แต่ตนยังไม่อยากขาย กลัวคนไทยไม่มีกิน และจะไปแจกต่อที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในวันที่ 2 พ.ค. นี้

       มื่อถามว่าผลการทดลองที่ออกมานายแสงชัยจะต้องมีการชี้แจงต่อประชาชนที่รอรับสมุนไพรอย่างไร นายแสงชัย กล่าวว่า ประชาชนเขาไม่ต้องการคำชี้แจงหรอก เขาต้องการรู้แค่ว่าตนต้องการจะแจกยาต่อหรือไม่เท่านั้นเอง เมื่อถามต่อว่าผลทดลองบอกไม่ได้ผลในการฆ่าเซลล์มะเร็ง ดังนั้นจะปรับกลุ่มการแจกสมุนไพรหรือไม่ นายแสงชัยกล่าวว่า ถ้าผู้ป่วยเขาพร้อมจะไปรับเราก็ให้ หรือถ้าเขาสะดวกก็ไปที่สถาบันมะเร็งซึ่งรักษาทุกระยะ ไม่มีไล่กลับบ้าน รับได้หมด ทั้งนี้ยืนยันว่าผู้ป่วยที่มารับสมุนไพรนั้นนั้นไม่มีการทิ้งการรักษาแผนปัจจุบัน แต่มีคนป่วยที่หมดทางรักษาแล้วอยู่ในมือเราหลายพันคน เป็นมะเร็งรวมๆ สมุนไพรเราเองก็ไม่มีสูตรแยกว่าเป็นมะเร็งชนิดไหน รวมมั่ว มะเร็งก็คือไวรัส เราไม่ใช่หมออย่าไปแยกมัน มะเร็งคือไวรัสชนิดหนึ่งเราก็ฆ่ามันเท่านั้นเอง

       เมื่อถามต่อว่าเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนจริงๆ จะต้องขยายผลทดลอง หรือร่วมกับภาครัฐในการทดลองหรือไม่ นายแสงชัย กล่าวว่า เรื่องการขยายผลจริงๆ อยู่ที่ภาครัฐ ตนมีแค่หน้าที่ผลิต ซึ่งก็ทำมาตลอด แต่ก็บอกทุกครั้งว่าให้รักษาควบคู่กันไป ตนบอกตลอดว่าไม่ใช่หมอ แต่เป็นผู้แบ่งปันคนหมดหนทาง ไม่เป็นไร เรายังเดินหน้าแจกต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่ไหว และคิดว่าเร็วๆ นี้คงจะไม่ไหว วันนี้กำลังการผลิตอยู่ที่ 4 แสนเม็ดต่อเดือน สำหรับกรณีมีคนตั้งข้อสังเกตเรื่องว่าทำไมต้องมีการลงบันทึกประจำวันนั้นก็คงต้องไปถามคนที่ตั้งคำถามว่าคนที่ผ่าตัดในรพ.ที่ผ่าตัดในรพ.ทำไมต้องให้ญาติเซ็น คนจะตาย ตายแล้วไม่เดือดร้อนเราให้แค่นี้พอ พอแจ้งความแล้วตำรวจจะรู้ยอดคนจะได้ให้การดูแลได้ ที่มาของยา 6 เม็ด เพราะมันไม่พอเลยแบ่งจาก 10 เม็ดเหลือ 6 เม็ด

       นายแสงชัย กล่าวต่อว่า ที่รัฐทำคือทดลองในหลอดทดลอง จะเอามาทดลลองในคนไม่ได้ เพราะผิดจริยธรรม แต่ตนได้ทดลองในคน ซึ่งอาการแย่อยู่แล้ว    เริ่มต้นก่อนจะแจกไม่ใช่ว่าไม่ทดลอง เราทดลองตามผู้ป่วยติดเตียง ตามบ้าน ตามวัดที่ใกล้เสียชีวิต ก็พบว่ามีเสียชีวิตประมาณ 300-500 คน  แต่เราเอาผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่มีทางรอด ตายแน่ๆ ญาติยอมเราก็ให้กิน

      ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่านี่ถือเป็นการวิจัยแล้วใช่หรือไม่ นายแสงชัยกล่าวว่า อันนั้นคือคิดการใหญ่ใจต้องถึง มัวแต่ไปรอภาคส่วนรัฐที่ต้องรอทดลองในหลอดทดลองแล้ว สัตว์น้อย สัตว์ใหญ่ ตนไม่เอาหรอก ตนจะรักษาคน ไม่ได้รักษาสัตว์ ไม่ได้รักษาสัตว์ทดลอง ก็เลยเอาคนจริง และเมื่อถามต่อว่าในการทดลองในคนได้มีการขออนุญาตก่อนหรือไม่ นายแสงชัยกล่าวว่า ต้องขออนุญาตใคร ก็ขออนุญาตญาติเขาแล้ว ซึ่งเราไม่กังวลว่ามันเป็นการวิจัยในมนุษย์

ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก : www.khaosod.co.th

จากใจของ Blogger ชลชนิต FA AIA
        เอาเป็นว่า ไม่รู้ว่าผลการทดลอง เป็นอย่างที่กรมการแพทย์เผย หรือ เป็นอย่างที่หมอแสงโต้ แต่ที่รับรู้กันได้คือ ยาหมอแสง ให้คุณค่าทางใจ ทำให้ผู้ป่วยมีกำลังใจ อันนี้แน่นอนและเห็นชัด แต่ ตัวผู้ป่วยเองไม่ควรเลือกการรักษาขาดเพียงทางหมอแสงทางเดียว ควรรักษาคู่ขนาดกับแผนปัจจุบันด้วย ตามที่หมอแสงบอกนะคะ



วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2561

เนื้อหมูคู่ครัวไทย ภัยเงียบคู่กายคุณ


            เนื้อหมูจัดเป็นพระเอกในอาหารไทยส่วนใหญ่ รวมถึงคนไทยยังนิยมบริโภค ผลิตภัณฑ์ จากเนื้อหมูทั้งในรูปแบบ เนื้อสดเพื่อประกอบอาหาร และเนื้อหมูแปรรูปลักษณะต่างๆ จึงทำให้เราสามารถเลือกซื้อได้อย่างง่าย ในตลาด หรือห้างสรรพสินค้าทั่วไป แต่เมื่อมองถึงประเด็นสุขภาพ หลายครั้งที่หมู ถูกยกขึ้นมาถกเถียงว่า เป็นประโยชน์หรือโทษกันแน่ แต่ในกลุ่มสุขภาพจริงๆ จะไม่ทานเนื้อหมูเลย 

            อาหารสุขภาพเป็นอาหารที่องค์การอนามัยโลกได้แนะนำให้รับประทาน  เพื่อลดการเกิดโรคเรื้อรังและโรคมะเร็ง ได้มีการศึกษาสองการศึกษา โดยศึกษาผลของการรับประทานเนื้อหมูเนื้อแดง และอาหารสำเร็จรูป(ได้แก่ไส้กรอก แฮม)โดยการศึกษาระยะยาวถึง 22-28 ปี โดยการศึกษาของ Dr An Pan (Harvard School of Public Health, Boston, MA) และ Dr Dean Ornish (Preventive Medicine Research Institute, Sausalito, CA)ผลสรุปว่า


         การรับประทานหมูเนื้อแดง และอาหารสำเร็จรูปจะเพิ่มอัตราการเสียชีวิต และอัตราการเกิดโรคมะเร็ง การรับประทานหมูเนื้อแดงหนึ่งมื้อต่อวันจะเพิ่มอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เสียชีวิตจากโรคหัวใจร้อยละ 16 และอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และจากการศึกษาพบว่าทดแทนการรับประทานหมูเนื้อแดงด้วยปลา หรือไก่ หรือ ถั่ว หรืออาหารไขมันต่ำจะลดอัตราการเสียชีวิต อัตราการเกิดโรคหัวใจ และโรคมะเร็ง

สาเหตุมาจาก
  • เชื่อว่าในหมูเนื้อแดงจะมีไขมันอิ่มตัวซึ่งเป็นผลเสียต่อสุขภาพ
  • ในหมูเนื้อแดงมี hemeซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญเนื้อแดงเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรค
  • การปรุงอาหารต้องใช้อุณหภูมิสูงซึ่งจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง
  • และที่สำคัญคือสารเร่งเนื้อแดง

         โดยนายแพทย์นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เผยว่า หากได้รับสารเร่งเนื้อแดงในระยะยาว และมีสารเร่งเนื้อแดงตกค้างอยู่ในร่างกาย ผู้บริโภคอาจมีผลข้างเคียงทำให้มีอาการมือสั่น กล้ามเนื้อกระตุก ปวดศีรษะ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กระวนกระวาย วิงเวียน ซึ่งเป็นอันตรายมากกับผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคต่อมไทรอยด์ และโรคลมชัก 

          วิธีแก้ก็แสนจะเบสิคง่ายๆ รับประทานเนื้อหมู ที่ได้มาตรฐานรับรอง หรือเป็นไปได้พยายามลดการบริโภคเนื้อหมูลง แล้วบริโภคปลาแทน ออกกำลังกายบ่อยๆ ทานน้ำ ทานผักเยอะๆ เพื่อสุขภาพที่ดีห่างไกลจากโรคภัย และมะเร็งตัวร้าย YOU ARE WHAT YOU EAT เราจะไม่เป็นหมูที่แข็งแรง 


ขอบคุณภาพประกอบจาก Google และ Sticker Line หมูจอมป่วนของคุณฐิติพร

ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องประกันชีวิตได้ที่

ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม

LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396

มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844

วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2561

น้ำลายสุนัข ความรักที่มาพร้อมเชื้อโรค


                  ในยุคสมัย ที่สัตว์เลี้ยงได้กลายเสมือนเป็นสมาชิกคนสำคัญในครอบครัว เราไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยว่า ในหลายๆครอบครัว สุนัขจะมีบทบาทที่สำคัญ บางทีร่วมนอน ร่วมเล่น ทำกิจกรรมหลายๆกิจกรรมร่วมกัน เป็นความรัก เป็นความอบอุ่น เป็นแหล่งพลังงาน เป็นที่ปรึกษา(ที่ฟังอย่างเดียว) เรียกว่าอยู่กับเราทุกโหมดอารมณ์ แถมบางทีท่าทางที่ตอบกลับ จะทำให้เราหลงรักมันได้ไม่ยาก 


                 แต่ก็ควรมีขีดกำจัดในความรักนั้นๆ ในเรื่องของสุขอนามัย สัตวแพทย์เผย 2 โรคใหญ่คนติดจากน้ำลายสุนัข  พ่วงรับเชื้อแบคทีเรียก่อโรคหลายชนิดน.สพ.พรพิทักษ์ พันธ์หล้า หัวหน้ากลุ่มโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน สำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค(คร.) กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าว เนื่องจากสุนัขจะคลุกคลีอยู่กับดินและมีสันชาตญาณเลียกันเอง ซึ่งในขนสุนัขจะมีเชื้อแบคทีเรียหลายตัวจนเชื้อแบคทีเรียเข้าไปปะปนในน้ำลายและลิ้น นิสัยเหล่านี้จะก่อให้เกิดโรคต่างๆสู่คนได้ง่ายหากมีการติดต่อสัมผัสโดยการเลีย หรือใช้ช้อนใช้ภาชนะอาหารร่วมกัน

                ที่ผ่านมาจะพบ 2 โรคใหญ่ๆ คือ 1.โรคปรสิต (Parasites) ซึ่งในตัวสุนัขจะมีทั้ง ไข่พยาธิ พยาธิตัวตืด พยาธิปากขอและพยาธิตัวกลม ที่ได้รับจากดินหรือการเลียตัวอื่น ทั้งนี้ อาจจะมีอยู่ที่น้ำลายหรือลิ้นสุนัข ทำให้เมื่อมาสัมผัสกับคนโดยการเลีย หรือใช้ช้อนตักอาหารอันเดียวกันกับสุนัข พยาธิเหล่านั้นก็สามารถมาสู่เราได้เช่นกัน และ 2.โรคพิษสุนัขบ้า แม้ว่ามีโอกาสพบน้อย แต่ก็พบว่ามีโอกาสติดได้จากการสัมผัสโดยการเลียเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังพบว่าในน้ำลายสุนัขจะมีเชื้ออีกหลายชนิดที่ก่อให้เกิดโรคได้ เช่น แบคทีเรียพาสจูเรลลา ซึ่งเชื้อตัวนี้หากมีการถ่ายทอดมาที่คนจะทำให้เกิดการติดเชื้อในผิวหนังได้ เชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส ซูอิส สามารถติดได้ทางบาดแผล หากได้รับเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดและเข้าไปสู่เยื่อหุ้มสมอง ทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ข้ออักเสบ ม่านตาอักเสบตามมา และเนื่องจากเยื่อหุ้มสมอง อยู่ใกล้กับปลายประสาทหูชั้นในทั้งสองข้าง อาจจะส่งผลต่อระบบการได้ยินได้ และแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ เฮลแมนนิ เมื่อได้รับเข้าไปอาจทำให้เป็นแผลในกระเพราะอาหาร จนถึงมะเร็งกระเพาะอาหารได้ เป็นต้น

                  “หากผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องได้รับเชื้อเข้าไป เชื้อจะมีความรุนแรงมากกว่าคนปกติและอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าเราจะเป็นฝ่ายติดเชื้อจากสุนัขได้เพียงฝ่ายเดียว จากการศึกษาในต่างประเทศเคยพบว่า สุนัขก็เสี่ยงจะติดเชื้อจากคนได้เช่นกัน ซึ่งเคยพบสุนัขติดเชื้อวัณโรคปอดจากคนจากการเลีย ทั้งๆที่เป็นเชื้อที่เกิดกับคน แสดงให้เห็นว่าทั้งคนและสุนัขต่างสามารถติดเชื้อซึ่งกันและกันได้ จึงขอเตือนไปยังผู้เลี้ยงสุนัขว่าควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมการใช้ช้อนหรือภาชนะใส่อาหารร่วมกันกับสุนัข ควรแยกกันอย่างเด็ดขาดเพื่อสุขอนามัย และควรหลีกเลี่ยงการนำเข้าไปในร้านอาหารของคน อีกทั้ง ควรมีการนำสุนัขไปตรวจโรค ดูแลเรื่องความสะอาด เห็บ หมัด ต่างๆ เพื่อป้องกันเชื้อราและแบคทีเรียที่จะนำมาสู่คนได้” 

ขอบคุณข้อมูลจาก. สสส

ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องประกันชีวิตได้ที่

ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396

มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844

วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2561

เคสที่กระจ่างว่าเหตุใดข้าราชการ ถึงควรทำประกันชีวิต

ถ้าคุณคิดว่าแค่สิทธิ์ข้าราชการก็พอ ถ้าคุณคิดว่าโรงพยาบาลรัฐตอบโจทย์คุณได้ ก่อนเข้าเนื้อหา
ลองสมมุติเหตุการว่าเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นกับตัวคุณ หรือคนที่คุณรักดู

1. ถ้ามีเคสเร่งด่วน และหมอเฉพาะทางที่ฝีมือดีมากๆ อยู่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพคุณจะไปไหม?

2. ถ้าการรักษาโรคบางอย่างต้องใช้เครื่องมือทันสมัย แต่โรงพยาบาลเอกชนเท่านั้นที่มีเครื่องนี้คุณจะไปรักษาไหม?

3.ถ้ายาที่ต้องใช้เป็นยานอกไม่ได้ระบุอยู่ในรายการเบิกได้ แต่เป็นยาที่ดีมากๆจะซื้อไหม?

4.ถ้าสิทธิ์ข้าราชการจ่ายให้คุณได้เพียงบางส่วน เงินหลักหมื่นหลักแสน หลักล้านที่เหลือคุณจ่ายเองได้ใช่ไหม? 

เชื่อไหมว่า 4 คำถามนี้ไม่เกินความจริงเลย เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้น มันเป็นคำถามเบสิค ที่ข้าราชการบางคนรู้ และบางคนไม่รู้ คนที่รู้ถ้าเขาไม่เคยได้เข้ารักษาเอง คงจะเป็นคนใกล้ตัวที่บอกมา และแน่นอนว่าคนที่ไม่รู้ คือกลุ่มคนที่ยังไม่เคยเข้ารับการรักษากรณีเคสเร่งด่วน หรือเคสที่ต้องการฝีมือหมอดีๆสักครั้ง


หลายวันก่อน ไปหาลูกค้ามา สามีลูกค้าเป็นข้าราชการ รวมทั้งตัวลูกค้าเองด้วย สามีต้องเข้ารักษาผ่าตัดบอลลูนหัวใจ ครั้นจะรอโรงพยาบาลรัฐในจังหวัด คิวผ่าก็นานเกินไป เพื่อนของลูกค้าแนะนำหมอฝีมือดีเชียวชาญด้านนี้มา แต่หมอก็ดันอยู่โรงพยาบาลชื่อดังในเขตกรุงเทพฯ นาทีที่ต้องเลือก ระหว่างสิทธิ์รักษารัฐที่รอนาน กับหมอฝีมือดีในเอกชน เพื่อรักษาคนที่รัก รักษาเสาหลักครอบครัว จึงตัดสินใจเลือกโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพ

การเข้าพบแพทย์วินิจฉัยรักษา ช่างสมกับเป็นอาจารย์หมอที่เชี่ยวชาญด้านนี้จริงๆ แต่เมื่อแจ้งราคามาเข่าแทบทรุด บอลลูนหัวใจ เลขสวยๆเหมาเป็นแพคเกจ  178,400  บาท ยังมีส่วนต่างบวกลบนิดๆหน่อยๆ สักสองสามหมื่น สิทธิ์ข้าราชการไม่ใจร้ายขนาดนั้น เขาให้คุณเบิกได้ แต่ก็ยังเหลือหลังแสนที่เป็นส่วนต่างต้องชำระเองอยู่ดี ไหนจะต้องลางานมาทั้งสองคน คนนึงลาเฝ้า อีกคนลารักษาตัว ค่าจิปาถะต่างๆ

คิดมากก็เครียด ในเมื่อรอไม่ได้ ในเมื่อคนที่เรารักสำคัญ เราก็ต้องรับมันไหว นี่คือสาเหตุที่เพียรบอก ลูกค้าข้าราชการทุกคน แต่น้อยคนที่จะเชื่อและรับฟัง จะบอกข้อดีการทำประกันชีิวิตไว้เลย เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น โรงพยาบาลเอกชนจะใช้สิทธิ์ประกันชีวิตก่อน ถ้าประกันทำวงเงินไม่สูงพอ ก็อาจมีบ้างที่ต้องใช้เบิกในส่วนราชการ บางทีจะเหลือค่าใช้จ่ายหลักพันถึงหมื่นนิดๆหน่อย แต่ถ้าทำทุนเยอะพอไม่ต้องรบกวนสิทธิ์ราชการ และไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ประกันชีวิตจ่ายให้หมด และที่สำคัญ คนป่วยขณะเข้าการรักษา ยังมีเงินจากประกันที่เรียกว่าเงินชดเชยรายได้ เข้ากระเป๋าทุกวัน ขั้นต้น 1 พันบาทขึ้นไปแล้วแต่งเงินที่เราทำ ดีไปอีกขั้นบางแบบประกันคนเฝ้าก็ได้ด้วย  นี่ยังไม่รวมสิธิ์รักษาอื่นๆที่จะมาแจกแจงให้ฟังภายหลังนะนี่

แล้วข้อมูลทั้งหมดของเคสนี้ พอจะทำให้ได้คำตอบบ้างไหมคะ 
ว่าเหตุใดข้าราชการ ถึงควรทำประกันชีวิต 
ปอลิง ประกันชีวิตเขารับทำเฉพาะคนที่ยังแข็งแรง ถ้าวันนี้คนๆนั้นยังเป็นคุณก็ทำเลยเถอะค่ะ 
อย่าให้ทุกอย่างสายไปแล้วจึงเริ่ม....


#AIA #เข้าใจชีวิต #เข้าใจคุณ

ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องประกันชีวิตได้ที่

ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396

มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844

วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2561

อีกสักครั้ง ทุจริตสหกรณ์ บทเรียนเดิมๆ...แต่หลายคนก็มองผ่าน

       


       14 สหกรณ์ออมทรัพย์ และ 2 สถาบันการเงินพร้อมสมาชิกหลายหมื่นคนส่อแววสูญเงินกู้และเงินรับฝากรวมกว่า 5,000 ล้านบาทเหตุผลพวงโดมิโนกรณีทุจริตเงินกู้ 2,000 ล้านบาทของสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ ดีเดย์ 14 มี.ค.กลุ่มธรรมาภิบาลยื่นกรมส่งเสริมสหกรณ์สอบเอกสารปลอมวาระการประชุม

       สหกรณ์ จัดเป็นอีกทางเลือกการออมนึงที่คนให้ความสนใจ เพราะดอกเบี้ยสูงล่อใจ มากกว่าธนาคาร เหมือนการผสมผสาน ระหว่าง ธนาคารกับออมเงินของบริษัทประกัน ช่างตอบโจทย์ตรงใจ  แต่แน่นอนว่าดาบย่อมมีสองคม ความเสี่ยงการากเงินตรงนี้ค่อนข้างสูง ซึ่งหลายคนมองข้ามไปเพราะ มันไม่เคยเกิด ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้ในสหกรณ์ที่ตนลงทุน

        แต่ตราบใดที่มีคนโลภในหน่วยงานบริหาร ภายใน การออกข่างทุจริต ก็เหมือนการส่องกระจกเห็นลางร้ายในอนาคต ซึ่งอาจจะเกิดหรือไม่ ใครจะรู้ เอาที่แน่ๆ ประเด็นร้อนสหกรณ์ ที่ผ่านมาไม่ถึงเดือน คือเรื่อง การทุจริต ของสหกรณ์รถไฟ โดยผลพวงที่จะส่งผลกระทบถึงสหกรณ์ออมทรัพย์อื่นๆมีจำนวน 14 สหกรณ์และอีก 2 สถาบันการเงินที่ให้เงินกู้และรับฝากเงินกับสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟจำกัด พบว่าปัจจุบันสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟจำกัด มีสมาชิกประมาณ 6,000 คน มีทุนเรือนหุ้นประมาณ 760 ล้านบาท มีเงินรับฝากจากสมาชิกประมาณ 300 ล้านบาท โดยยังได้รับฝากเงิน และกู้เงินจากสหกรณ์อีกจำนวน 14 แห่ง นอกจากนี้ยังมีเงินกู้ยืมจากธนาคารกรุงไทยอีกจำนวน 100 ล้านบาท และธนาคารกรุงเทพอีก 60 ล้านบาท หากคิดรวมความเสียหายคาดว่าจะมีกว่า 5,000 ล้านบาท


         คนหลายคนมองว่าบริษัทประกันโกง ถ้าพูดให้ถูกต้อง คือสารที่ บริษัทสื่อ อาจจะไปไม่ถึงลูกค้าเท่าที่ควร เพราะผ่านคนกลางที่เรียกว่าตัวแทน บางคนอธิบายบ้างนิดหน่อย บางคนมองข้ามจะอธิบาย เมื่อถึงกำหนดจึงเกิดปัญหา และรวมทั้งการฝากที่มีระยะเวลานาน คนส่วนใหญ่มักมองความจำเป็นใรการใช้เงินแบบฝากได้ ถอนดี มากกว่าจะเอามาแช่นิ่งๆ เลยหันไปพึ่งสหกรณ์ ซึ่งถามว่าจริงๆ การที่ลูกค้าตัดสินใจแบบนั้นมามันผิดไหม ก็ไม่ผิดนะคะ แต่เราควรกระจายความเสี่ยง วางฐานการเงินให้ทั่วทุกจุดจะดีกว่า

                อย่างที่เกริ่นๆไป ว่ามีหลายเคส และหลายครั้งที่สหกรณ์ เป็นผู้ทำให้ระบบการเงินของเราสั่นคลอน การฟ้องร้องที่ยืดเยื้อยาวนาน อาจจะทำให้คนที่ประสบปัญหานั้นๆโดยตรงเข็ด แต่ไม่ใช่กับคนที่ยืนมองเหตุการณ์ มันก็คล้ายๆ หลายๆกรณี ตราบใดถ้าเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็สบายใจกันไปก่อน
พอเกินขึ้นที ก็ล้อมคอกกันใหญ่ เราประมาทเรื่องเล็กๆน้อยๆ กันจนชิน ยังไม่เกิดตอนนี้ ยังไม่ใช่ตอนนี้ คงไม่ใช่เรา เราคงไม่โชคร้าย ไว้ก่อนนะ ไว้ค่อยคิด ไว้ค่อยแก้ไข เราถนัดแก้ไขมากกว่าป้องกันเสียแล้ว
ว่าอย่างนั้นไหมคะ

สาธุ
#AIA #เข้าใจชีวิต #เข้าใจคุณ

ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องประกันชีวิตได้ที่

ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396

มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844


วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2561

โครงประกันชีวิต ที่ให้สุขภาพ และรูปร่างใหม่ของคุณ จาก AIA


           วันนี้จะว่าขายของก็ไม่เชิง จะเล่าในเชิิงมุมมองและความประทับใจ ในโครงการนี้ดีกว่า AIA Vitality เป็นโครงที่ประกันสุขภาพเข้าร่วมจะดีมากๆ เงื่อนไข มันเหมือนเล่นเกมส์ เก็บแต้มเพื่อเป็นส่วนลดในเบี้ยประกันของเราที่ร่วมโครงการนี้้ ในปีถัดไป เพียงแต่จะนั่งกดจอยมันจะไปสนุกอะไร งานนี้ต้องออกกำลังกันจริง กินอาหารสุขภาพกันจริงๆ โดยมีโกลเป้าหมายคะแนนให้ในแอฟพลิเคชั่น อยากทำเท่าไรก็จัดไป รับรองว่าเห็นความต่างในหนึ่งปี 


             คะแนนสูงเท่าไรสิทธิประโยชน์ยิ่งมากขึ้น หลักการทำคะแนน ก็มีเงื่อนไขในแอฟฟลิเคชั่นที่คอยอธิบายเราง่ายๆ เช่นต้องวิ่งวันนึงให้ได้เท่าไร ถึงจะได้กี่คะแนน แต่ไม่ใช่วิ่งอย่างเดียวนะคะ มีกิจกรรมอื่นๆเสริมเพิ่มเติมในแอฟนั้นจะแจ้งไว้ ซึ่งผลประโยชน์จะเป็น ส่วนลดบริการ ตามมาด้วยสุขภาพ และรูปร่างที่ดี


           ไม่เท่านั้นเมื่อเราได้เจ้าการ์ดสีแดงมาครอบครองแล้ว จงพกมันอย่างภาคภูมิใจ มันเป็นใบเบิกทางราวกับคุณมีสิทธิพิเศษ ไป TOPS market ซื้อผักก็ได้ลด ซื้อะไรที่เกี่ยวข้องกับอาหารสุขภาพ ลดหมดเลย ลดตอนนั้นเลยจริงๆ ทีแรกนึกว่าเก็บคะแนนแลกแต้มเหมือนบัตร TOPS พอพนักงานยิงบัตรปุ๊ป ราคาก็ลดปั๊ป ดีใจชะมัด ได้สุขภาพและได้ลดค่าอาหารอีก 


           หลายครั้งที่เดินผ่าน ฟิตเนส แบบอยากเข้านะ ดีจัง แต่แพงไปอ่ะ ไม่ไหวจ่ายเยอะ พกบัตรไปสิเข้าไปที่เค้าเตอร์  ถามเลยว่าส่วนลดจากบัตรนี้ ถ้าสมัครสมาชิกเท่าไร (เฉพาะ Fitness Frist) แล้วจะได้รับคำตอบที่ทำให้ฝันของคุณไม่ไกลเกินเอื้อม เท่านั้นไม่พอค่ะ อย่างที่บอกไป ทุกๆการออกกำลังกายเคลื่อนไหว เราได้แต้มคะแนนสะสมทั้งสิ้น


             โดยการวัดนั้นจะผ่านแอฟฟลิเคชั่นในมือถือ (ซึ่งตัวแทนประกันชีวิตจะแนะนำ และทำการดาวน์โหลดให้ค่ะ) ใครที่มีนาฬิกาของ GARMIN อยู่แล้วยิ่งสะดวกเลย แต่ใครไม่มีไม่ต้องเสียใจ ทุกอุปกรณ์กีฬาที่ร่วมรายการ มีตั้งแต่รองเท้าวิ่ง ยันนาฬิกานี้ บัตร Vitality มอบส่วนลดให้คุณได้ ลดมากี่อย่างแล้วเนี่ย ยังไม่รวมส่วนลดทั่วไปอื่นๆที่ร่วมรายการอีก จะพักผ่อน ดูหนัง ท่องเที่ยว มีหมด 

              ทำประกันทั้งที มันต้องให้ครอบคลุมทั้งรายจ่ายเรื่องรักษาพยาบาล และสุขภาพ ทำแล้ววางกรมธรรม์ไว้เฉยๆ มันไม่ได้อะไรค่ะ มาร่วมโครงการนี้ด้วยดีกว่า เบี้ยประกันเท่าเดิม เพิ่มเติมคือผลประโยชน์ทางด้านสุขภาพ และรูปร่างที่ดีอย่างยังยืน คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เห็นผลคามเปลี่ยนแปลงใน 1 เดือนแน่นอน 

#AIA #เข้าใจชีวิต #เข้าใจคุณ

ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องประกันชีวิตได้ที่

ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396

มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844