กฎหมายได้กำหนดไว้ 2 ประเภทคือ
1.ทายาทโดยพินัยกรรม หรือทายาทโดยเจตนาของเจ้าของมรดก
2.ทายาทโดยธรรมหรือทายาทโดยผลของกฎหมาย ซึ่งทายาทโดยธรรม นี้จะมีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายต่อเมื่อ ผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมเอาไว้ หรือทำแต่ไม่ได้ระบุชื่อเจ้าของผู้รับมรดกหมดทุกชิ้น ชิ้นที่เหลือไม่มีชื่ออาจจะตกเป็นของทายาทกลุ่มนี้
คุณสมบัติทั่วไปของทายาทคือ
- บุคคลที่จะเป็นทายาทจะต้องมีสภาพบุคคลอยู่ในเวลาที่เจ้าของมรดกถึงแก่ความตาย กล่าวคือ เป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะที่เจ้าของมรดกถึงแก่ความตายจนถึงปัจจุบัน รวมถึงไม่ใช่คนที่ทางศาลสั่งให้ เป็นบุคคลสาปสูญ
- บคคลที่มีสภาพบุคคลภายหลังที่เจ้าของมรดกถึงแก่ความตาย ย่อมไม่มีสภาพ บุคคลในขณะที่เจ้าของมรดกถึงแก่ความตาย เอาภาษาทั้วไปคือ ทารกหรือเด็ก ที่แม่ตั้งท้องหลังจากเจ้าของมรดกได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ทั้งนี้มีข้อยกเว้นแต่ 2 กรณี
- เด็กที่เกิดมารอดอยู่ภายใน 310 วัน นับแต่เวลาที่เจ้าของมรดกถึงแก่ความตายนั้น เป็นทารกใน ครรภ์มารดาอยู่ในเวลาที่เจ้าของมรดกถึงแก่ความตาย
- เมื่อมูลนิธิใดซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยพินัยกรรมได้ตั้งขึ้นเป็นนิติบุคคลแล้ว ให้ถือว่าทรัพย์สินซึ่งผู้ทำพินัยกรรมจัดสรรไว้เพื่อการนั้น ตกเป็นของ นิติบุคคลนั้นตั้งแต่เวลาซึ่งพินัยกรรมมีผลเว้นแต่จะมีข้อกำหนดไว้ในพินัยกรรมเป็นอย่างอื่น”
- บุคคลที่เป็นทายาทจะต้องมีฐานะเป็นทายาทประเภทหนึ่งประเภทใดตามที่กล่าวได้ข้างต้น
พินัยกรรม หมายถึง การแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายซึ่งให้มีผลบังคับได้เมื่อถึงแก่
ความตาย หรือถ้าเป็นภาษาพูดก็ได้แก่ คำสั่งเสียของผู้ตาย โดยกฎหมายกำหนดรูปแบบของพินัยกรรมไว้ 5 แบบ
แต่ปัญหาในเรื่องพินัยกรรมส่วนใหญ่จะมากจาก ทายาทโดยธรรม ซึ่งก็คือ บุตรในสมรส บุตรนอกสมรส บุตรบุญธรรม พีน้องที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกันกับเจ้าของมรดก พี่น้องคนละพ่อหรือคนละแม่ของเจ้าของมรดก ภรรยาหรือสามีที่จดทะเบียนสมรสกับเจ้าของมรดก พ่อและแม่ในที่นี้รวมพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงของเจ้าของมรดกที่ได้รับการสมรสอย่างถูกต้อง ซึ่งคนกลุ่มนี้จะทำให้เกิดการฟ้องร้อง ยืดระยะเวลาการตัดสินกระจายทรัพย์สินออกไป
ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396
- พินัยกรรมแบบธรรมดา จะต้องทำเป็นหนังสือลงวันเดือนปีขณะที่ทำ ระบุคำสั่งเสียให้ชัดเจน แล้วลงลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมต่อหน้าพยาน 2 คน ซึ่งพยานทั้งสองคนจะไม่มีสิทธิ์ในพินัยกรรมดังกล่าว พินัยกรรมแบบนี้จะเขียนด้วยลายมือ หรือพิมพ์ก็ได้ และผู้ทำพินัยกรรมจะให้บุคคลอื่นเป็นผู้จัดทำก็ได้แต่ต้องระบุชื่อ และที่อยู่ของผู้นั้น ให้ชัดเจนลงไว้ในพินัยกรรม
- พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ ผู้ทๆพินัยกรรมต้องเขียนข้อความ ทั้งหมดด้วยลายมือตนเอง ตั้งแต่วันเดือนปี คำสั่งเสีย และการลงลายมือชื่อ พินัยกรรมแบบเขียนเองนี้กฎหมายไม่ได้บังคับว่าต้องมีพยาน ดังนั้นจะ มี หรือไม่มีก็ได้ แต่ถ้าการทำพินัยกรรมแบบนี้มีพยานด้วย ก็จะน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เพราะมี พยานผู้รู้เห็นด้วย โดยผู้ทำพินัยกรรมต้องลงมือเขียนด้วยลายมือของตัวเองทั้งหมด ตั้งแต่อักษรตัวแรกจนถึงอักษรตัวสุดท้าย การนำแบบพิมพ์พินัยกรรมมากรอกข้อความลงไป ไม่ใช่การทำพินัยกรรมแบบเขียนเอง
- พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง ติดต่อที่นายอำเภอให้ช่วย ทำพินัยกรรมให้ โดยให้นายอำเภอจดแจ้งข้อความที่ตนประสงค์จะระบุไว้ในพินัยกรรม และลง ลายมือชื่อของตนต่อหน้าพยาน 2 คน (พินัยกรรมแบบนี้ต้องติดต่อที่อำเภอ)
- พินัยกรรมแบบลับ เมื่อทำพินัยกรรมแล้วปิดผนึกลง ลายมือชื่อคาบรอยผนึกนำไปแสดงต่อนายอำเภอและพยาน 2 คน ให้นายอำเภอจดถ้อยคำของ ผู้ทำพินัยกรรม และวัน เดือน ปี ที่ทำพินัยกรรมไว้บนซองและประทับตราต าแหน่งลงลายมือชื่อ นายอำเภอ ผู้ทำพินัยกรรม และพยานบนซองนั้น(พินัยกรรมแบบนี้ต้องติดต่อที่อำเภอ)
- พินัยกรรมด้วยวาจา พินัยกรรมแบบนี้จะมีผลบังคับตามกฎหมายได้ ต่อเมื่อ ได้ทำขึ้นในขณะที่มีพฤติการณ์พิเศษคือ ผู้ทำพินัยกรรมนั้น ตกอยู่ในอันตรายใกล้ความ ตาย มีโรคระบาด มีสงคราม บุคคลนั้นแสดงเจตนาต่อหน้าพยานอย่างน้อย 2 คน โดยที่พยานสองคน นั้นต้องไปแสดงตนต่อนาอำเภอโดยไม่ชักช้า แจ้งข้อความที่ผู้ตายสั่งไว้ด้วยวาจานั้น พร้อมทั้ง แจ้งวันเดือนปี สถานที่ที่ทำพินัยกรรม และพฤติการณ์พิเศษนั้นไว้ด้วย
บุคคลซึ่งจะเป็นพยานในพินัยกรรม จะต้องเป็นมิได้เป็นบุคคลดังต่อไปนี้
- ผู้ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ
- บุคคลวิกลจริตหรือบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ
- บุคคลที่หูหนวก เป็นใบ้ หรือจักษุบอดทั้งสองข้าง
กรณีที่ผู้ทำพินัยกรรม ได้ทำพินัยกรรมเป็นต้นฉบับหลายฉบับ การแก้ไขพินัยกรรมจะต้องกระทำต่อพินัยกรรมทุกฉบับ แก้ไขที่ใดจุดใดต้องลงลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรม และพยาน กำกับการแก้ไขตลอด ในกรณีที่ผู้ทำพินัยกรรมเปลี่ยนใจไม่อยากแสดงเจตนาเผื่อตายต่อไป ผู้ทำพินัยกรรมก็สามารถเพิกถอนพินัยกรรมที่ทำขึ้นได้ โดยทำลายพินัยกรรมที่ทำขึ้นนั้นทิ้งไปจะ โดยวิธีใดก็ได้ แต่ถ้าได้ทำพินัยกรรมขึ้นหลายฉบับต้องทำลายทิ้งทุกฉบับ
ในการเสียชีวิตทุกครั้ง เงิน ที่ดิน สินทรัพย์ใดๆ ยกเว้นกรมธรรม์ประกันชีวิต จะถูกยึดไว้ไม่ให้มีการถอนออกหรือจำหน่าย เพราะต้องรอทายาทโดยธรรมคนอื่นๆ มาท้วงสิทธิ์อันพึงได้ โดยทายาทโดยธรรมต้องฟ้องแบ่งมรดกภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่เจ้าของมรดก
ตายหรือควรจะได้รู้ถึงแก่ความตายของเจ้าของมรดก หรือภายใน 10 ปีนับแต่ที่เจ้าของมรดกตาย ยกเว้นแต่ทายาทโดยธรรมฟ้องให้แบ่งมรดกในส่วนที่ตนเองร่วมครอบครอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตายฯ แต่ให้ฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ไม่
แบ่งมรดกให้ (นับแต่วันโต้แย้งสิทธิ) แทน
นี่ล่ะที่บอกว่า ควรทำกรมธรรม์ไว้สำหรับเป็นมรดกเงินสด ที่ใช้และมอบให้คนที่เรารักทันที ใครก็ไม่มีสิทธิ์โต้แย้งครอบครอง ระยะเวลาหนึ่งปีที่ยังไม่รวมการต่อสู้ชั้นศาลที่ยืดเยื้อ หากคุณไม่ทำไว้ คนที่คุณรักจะลำบากแค่ไหน คุณอาจจะคิดว่า คุณเป็นคนธรรมดา มรดกที่มีก็ไม่มากมายอะไร แต่ถ้ามีลูกสองคน ที่ตกลงกันไม่ได้ คนธรรมดามรดกไม่มาก ก็สร้างความลำบากได้เช่นกัน บนโลกใบนี้ ไม่มีใครที่รักและดูแล ปกป้อง พวกเขาได้ดีเท่าคุณอีกแล้ว เชื่อเถอะ ประกันเงินออมไม่ใช่แค่การออมเงิน แต่เป็นมรดก เป็นความรักที่คุณทุ่มเทให้กับเขาในวันที่เขาไม่มีคุณ ใครที่เป็นผู้ได้รับเขไม่ได้ดีใจที่ได้เงิน แต่เขาดีใจที่สุดท้ายแล้วคุณไม่ได้ทิ้งเขาให้เผชิญปัญหาลำพัง
ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องประกันชีวิตได้ที่
ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396
มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น