บทความของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ผู้อำนวยการหลักสูตร Ph.D. และ M.Sc. (Business Analytics and Data Science) สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เผยแพร่ใน mgronline.com
ผมต้องออกมายอมรับว่าตัวเองพยากรณ์พลาดไปมาก เพราะได้เขียนบทความว่า เมื่อมหาวิทยาลัยไทยต้อง lay off อาจารย์และเจ้าหน้าที่ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2561
แต่สิ่งที่ผมคาดไว้กลับเกิดขึ้นไวกว่าที่ผมพยากรณ์ไว้มาก
วันก่อนลูกศิษย์ผมที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเอกชนมาเล่าให้ฟังว่าตัวเธอเองต้องรับหน้าที่ไปบอกเพื่อนอาจารย์ว่าต้อง lay off แล้วเพราะไม่มีภาระงานสอน มหาวิทยาลัยต้องเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดใด ๆ
มีมหาวิทยาลัยเอกชนหนึ่งแห่ง ได้ขายให้กลุ่มทุนจีนแล้ว และเปลี่ยนผู้บริหารชุดใหม่ และเริ่ม lay off อาจารย์ที่สอนได้แต่ภาษาไทยและภาษาอังกฤษออกไป และเริ่มหาอาจารย์ชาวจีนที่สอนเป็นภาษาจีนได้เข้ามาทำงานแทน
ไม่มีนักเรียนไทยเพียงพอแล้ว เด็กไทยมีอัตราการเกิดต่ำมาก เราเป็นสังคมสูงอายุรุนแรงมาก ถ้าไม่มีนักศึกษาจีนเลยไม่มีทางไปรอดสำหรับมหาวิทยาลัยเอกชน และที่ผ่านมาก็เอาเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาเป็นเครื่องจูงใจให้เด็กมากู้เงินแล้วเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนกันมาก แต่ก็ไม่ยั่งยืนและไปไม่รอด
นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง มีนักเรียนจีนเยอะ เด็กนักเรียนไทยหายไปมากกว่าสองในสาม กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาให้ได้ข้อตกลงเพื่อจะซื้อขายกัน แน่นอนว่าทุนจีนจะเป็นคนซื้ออีกเช่นกัน ยังไม่ได้ราคาที่ลงตัว
ผมได้ยินข่าวมาว่ากลุ่มทุนจีนที่ทำธุรกิจพานักเรียนจีนเข้ามาเรียนในประเทศไทยจะลงทุนซื้อมหาวิทยาลัยเอกชนเอง และบริหารเอง และหาอาจารย์จีนมาสอนเอง และหานักเรียนจีนมาเรียนด้วยตัวเอง ครบวงจรอย่างยิ่งครับ เข้าใจว่าจะทำหอพักและร้านอาหารรอบมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำไป เรื่องนี้น่าจะมีเค้าความจริง ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากังวลแต่อย่างใด ที่น่ากังวลกว่าคือนักเรียนมาแล้วไม่เรียนกลับมาสนใจแต่ค้าขายรอบมหาวิทยาลัยหรือมาทำธุรกิจอย่างอื่น เรื่องนี้ต่างหากที่ไทยเราโดยเฉพาะตรวจคนเข้าเมืองต้องดำเนินการจริงจังได้แล้ว
เอาเป็นว่า ณ บัดนี้ เริ่มมีการ lay off อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ไม่มีภาระการสอนกันแล้วอย่างเป็นเรื่องเป็นราวหลายๆ ที่ครับ ที่แย่สุดคือ รองอธิการบดี หรือ คณบดี ไม่ลงไปพูดกับผู้ถูก lay off เอง แต่ให้หัวหน้าภาควิชาลงไปพูด ทำไมไม่ลงไปบอกเองหนอ
สาขาวิชาที่เสี่ยงจะถูก lay off คือสาขาวิชาที่ไม่มีนักศึกษาเรียนครับได้แก่
เศรษฐศาสตร์ วันก่อนอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยออกมาพูดเองเลย
สถิติคณิตศาสตร์ฟิสิกส์ วิทยาการคอมพิวเตอร์การจัดการระบบสารสนเทศ วิชาพวกนี้ยากไป เด็กไทยไม่อยากเรียน
ปรัชญาประวัติศาสตร์ วิชาพวกนี้จบไปไม่มีงานโดยตรง เด็กไทยก็ไม่อยากเรียน
อาจารย์มหาวิทยาลัยในสาขาวิชาพวกนี้น่าจะไปก่อนครับผม เอาเข้าจริงเห็นอาจารย์ในสาขาวิชาเหล่านี้เริ่มถูก lay off แล้วครับ
ส่วนสาขาวิชาบางสาขากลับขาดแคลนหนักมาก เช่น พยาบาลศาสตร์ ผลิตเท่าไหร่ก็ไม่พอ หาอาจารย์พยาบาลก็ยากลำบากเหลือเกิน สาขาแพทย์ก็ขาดแคลนแต่ไม่เท่าพยาบาล เพราะเราเข้าสังคมผู้สูงอายุ การเจ็บป่วยก็มากขึ้น ต้องการคนดูแลมากขึ้น
การปรับตัวเป็นเรื่องจำเป็นมาก โดยเฉพาะการปรับตัวหลังถูก lay off จะไปทำอะไร อายุก็มากแล้ว และอยู่ใน comfort zone ในมหาวิทยาลัยมีอำนาจเหนือนักศึกษา และหลายคนไม่ได้ทำงานจริง ๆ มานานมาก สอนหนังสืออย่างเดียว จนทำอะไรไม่เป็นแล้วก็มีมาก
TCAS รอบนี้ หนักหนามากครับ ระบบห่วย ซับซ้อน และซ้ำซ้อนมากเกินไป เพราะทุกมหาวิทยาลัยแย่งเด็กที่มีจำกัดมาก มีที่นั่งให้เรียนมากกว่าจำนวนเด็กที่อยากเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
วันก่อนได้สนทนากับรองเลขาธิการ สกอ. ได้เล่าให้ผมฟังว่าปีที่ผ่านมามีมหาวิทยาลัยไทยขอเลิกกิจการไปสองแห่ง และขณะนี้มีการยื่นเรื่องเพื่อขอปิดมหาวิทยาลัยอีก 5 แห่ง
มีบางมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดเล็ก ๆ รับเด็กได้สิบกว่าคนทั้งมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ไม่รอด ต้องเลิกกิจการแน่นอน
ปีหน้าน่าจะหนักหนากว่านี้
TCAS ปีนี้ที่มีปัญหามาก ส่วนหนึ่งคือนักเรียนสมัครน้อย และเกิดการชิงเปรต แย่งเด็กกัน
TCAS เที่ยวนี้เอาเข้าจริงคือ 7 รอบ (รวม 3/1 และ 3/2) ใช้เวลานานเกือบครึ่งปี และมีระบบสอบมากกว่า 50 ระบบ
มหาวิทยาลัยแย่งเด็กกันเพราะสถานการณ์เช่นข้างบน
รอดูครับ มีแต่จะเลวร้ายลงไปกว่านี้
พวกมหาวิทยาลัยราชภัฎ ในต่างจังหวัด ที่นักศึกษาลดลงมากก็มีการเลิกจ้างและเลย์ออฟอาจารย์ที่เป็นพนักงานมหาวิทยาลัยกันมากมาย
ที่ยังอยู่กันไล่ไม่ได้คืออาจารย์มหาวิทยาลัยที่เป็นข้าราชการเท่านั้น ซึ่งก็เหลืออยู่ไม่มากนัก
พวกพนักงานมีสัญญากันไม่กี่ปีตอนนี้จะเริ่มถูกเลย์ออฟครับ ถ้าไม่มีภาระงานสอน และไม่มีภาระงานอย่างอื่น
ใครจะขึ้นมาเป็นคณบดี อธิการบดี รองอธิการบดี โปรดเตรียมตัวมาทำหน้าที่นี้เพื่อความอยู่รอดของหน่วยงานของตัวเอง โปรดเตรียมตัวไปศาลปกครองด้วย ขอให้โชคดีกันนะครับ
มหาวิทยาลัยของรัฐก็อย่าชะล่าใจ
มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ จะมีวิธีการบริหารที่เด็ดขาดกว่า เช่น สาขาวิชาไหน ไม่มีนักศึกษาเรียนพอแล้วทำให้ขาดทุน ก็ต้องยุบไป ต้องเกลี่ยอาจารย์ไปสอนในสาขาวิชาที่มีนักศึกษา หากปรับตัวไม่ได้หรือไม่มีสาขาวิชาไหนต้องการก็ต้องลาออกไป ไม่ต่อสัญญาจ้าง จะถูกบีบให้ออก เพราะไม่มี value และ ไม่มี contribution อะไรที่มาทดแทนกันได้
หรือไม่ก็ให้โอกาสให้ไปเขียนหลักสูตรมาใหม่ ทำให้มีนักศึกษามาเรียนให้ได้
เวลานี้สถานการณ์มหาวิทยาลัยไทย ย่ำแย่มาก ไม่มีนักศึกษา และอาจารย์กำลังจะถูก lay off มากขึ้นเรื่อยๆ
ประเทศเล็กๆ มีมหาวิทยาลัยมากเกือบสามร้อยแห่ง ยุบๆ ไปบ้าง หรือยุบรวมกันไปบ้าง มากกว่าครึ่งหนึ่งยังเหลือแหล่เกินพอเพียง โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาก็ควรยุบไปบ้างครับ ตำแหน่งครูก็ยุบลงไปรวมกันในโรงเรียนใหญ่กว่าได้ครับ
ที่พูดมานี้ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำอำมหิต หรือไม่เห็นใจครูบาอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่สถานการณ์จะเป็นนายของทุกคน เด็กไม่มี เงินไม่มี ก็ไม่มีเงินจะจ้าง สถานการณ์จะบีบให้ผู้บริหารต้องบีบอาจารย์มหาวิทยาลัยลาออกไปครับ
ดังนั้นอาจารย์มหาวิทยาลัย ควรมีอาชีพอื่นหรือแหล่งรายได้อื่นสำรองได้แล้วครับ ที่จะเอาทุนไปเรียนต่อปริญญาเอกก็คิดกันให้ดี ๆ กลับมาอาจจะไม่มีนักศึกษาให้สอน แล้วต้องไปทำงานธุรการก็ได้ ใครจะไปรู้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ
สวัสดีอาจารย์มหาวิทยาลัยไทย นี่คือความจริงอันเจ็บปวดที่ท่านกำลังต้องเผชิญ
แต่ที่ผมห่วงยิ่งกว่าคือเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัย ซึ่งมีจำนวนมากยิ่งกว่าอาจารย์มหาวิทยาลัย และมีวุฒิการศึกษาน้อยกว่าอาจารย์ ซึ่งน่าจะถูกเลย์ออฟไปด้วย จะไปอยู่ที่ไหน จะไปทำงานอะไรหลังถูก lay off นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก เพราะโอกาสน่าจะน้อยกว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยค่อนข้างมาก ก็ต้องเตรียมตัวกันให้ดีครับ
บทความที่ได้รับความนิยม
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2561
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2561
ความเครียดในในุษย์เงินเดือน คือโรคที่รักษาไม่ได้
น.พ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย กรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลมนารมย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันสุขภาพจิตของคนไทย มีระดับความเครียดสูงมาก โดยมีปัจจัยพื้นฐานมาจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมเศรษฐกิจ สถาบันครอบครัว การแข่งขันที่สูงในเรื่องการเรียน การทำงาน บทบาทของสถานศึกษา รวมถึงศาสนาที่สมัยก่อนเปรียบเสมือนที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในสังคมได้ มาในยุคนี้เริ่มอ่อนแอลงไป เนื่องจากพนักงานในองค์กรมีความเครียดสูง จึงทำให้เกิดปัญหาต่อคุณภาพงานและผลประกอบการ
แรงกดดันต่อผู้คนในการใช้ชีวิตส่วนที่แรงที่สุด ก็คือ เรื่องของปัญหาทางด้านการเงินในครอบครัว
ที่เป็นผลลัพธ์สุดท้ายของปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งเห็นได้จากการขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจากผู้ใช้แรงงาน
พอมีปัญหาทางด้านการเงินแล้วสิ่งที่ตามมา ก็คือ ความเครียดในครอบครัว ถ้าครอบครัวไม่แข็งแรง ไม่มีความเข้าใจกัน จะเห็นได้ชัดจากการที่มีองค์กรบริษัทหลายแห่งติดต่อโรงพยาบาลฯ ให้ส่งเจ้าหน้าที่และจิตแพทย์ เข้าไปให้คำแนะนำปรึกษาเกี่ยวกับจิตเวช
คนที่มีพื้นฐานสุขภาพจิต ไม่แข็งแรง ก็จะเกิดความเครียดและเกิดการเจ็บป่วยทางจิตใจที่รุนแรงได้ เช่น อาการวิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ปัญหาเรื่องของการควบคุมอารมณ์ การใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่นและต่อตนเอง รวมทั้งปัญหาการฆ่าตัวตาย เมื่อรู้สึกว่าไม่มีทางออกกับปัญหาที่ต้องเผชิญ หรือบางรายอาจจะหลุดจากความเป็นจริง เช่น มีอาการหูแว่ว ประสาทหลอน หวาดระแวง จนกระทั่งเกิดปัญหาการติดเหล้า ยานอนหลับ หรือแม้กระทั่งยาเสพติด ซึ่งจะเป็นต้นเหตุนำไปสู่ปัญหาที่ยุ่งยาก และซับซ้อนมากกว่าที่ควรจะเป็น” น.พ. ไกรสิทธิ์ กล่าว
วิธีคิดที่จะช่วยลดความกดดันอีกอย่างหนึ่งก็คือ การมองว่าการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เป็นเรื่องธรรมชาติ ปกติ ธรรมดา รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงด้านการเมือง สังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ แต่ละคนก็อยู่ในช่วงหนึ่งของเหตุการณ์ เราจะคาดหวังให้ทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
สิ่งที่ทุกคนต้องกระทำ คือ
1. การฝึกผ่อนคลายจิตใจในแต่ละวันเป็นสิ่งที่จำเป็น
เปรียบเทียบกับสุขภาพทางกาย คนเราทุกคนต้องอาบน้ำชำระล้างคราบสกปรก
เพื่อให้เกิดความสะอาดสบายตัวในทุก ๆ วัน
จิตใจก็เหมือนกันใน ทุก ๆ วันแต่ละคนจะมีเรื่องเข้ามากระทบจิตใจ
ทำให้อารมณ์ขุ่นมัว เศร้าหมอง เครียด ไม่แจ่มใส
หากอารมณ์เหล่านี้ไม่มีการระบายออก ก็จะเกิดความเครียดสะสม
ต้องเคลียร์อารมณ์ในทุก ๆ วันออกไป
เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็ควรหาเวลาในแต่ละวัน วันละ 5 – 20 นาที
ในการหยุดพักหยุดคิดเรื่องเครียดต่าง ๆ
หางานอดิเรก ฟังเพลง ชมนก ชมไม้ เลี้ยงปลา กิจกรรมที่ตนเองชอบ
รวมทั้งการฝึกผ่อนคลาย เพราะทุกคนต้องการเวลาส่วนตัว เหมือนเวลาอาบน้ำก็เป็นเวลาส่วนตัว
หากคนเราไม่มีเวลาส่วนตัวที่จะผ่อนคลาย ก็จะทำให้เกิดภาวะเครียดได้
“การฝึกผ่อนคลายก็เหมือนการฝึกสมาธิ จะช่วยให้อารมณ์ลบไม่ขังสะสม
ทำให้ถึงจุดเดือดได้ยาก แต่ถ้าหากสะสมไว้มาก ๆ พอมีอะไรมาสะกิดนิดเดียวก็อาจจะถึงจุดเดือดและระเบิดได้ง่าย” น.พ. ไกรสิทธิ์ กล่าวและเสริมว่า ความแข็งแรงของจิตใจและสุขภาพจิตของแต่ละคนมีพื้นฐานไม่เท่ากัน แต่ละคนก็จะรับเรื่องหนัก ๆ ในชีวิตได้ไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นอย่าพยายามทำอะไรเกินกำลังของตัวเอง
2. ให้พยายามสังเกตอารมณ์ตัวเองอยู่เรื่อย ๆ
ฝึกยับยั้งอารมณ์โดยการนับ 1 ถึง 100
เพราะการชะลออารมณ์ จะทำให้เรารู้เท่าทันอารมณ์และเกิดสติ
มีเวลาคิดว่า ควรจะทำอย่างไรที่จะออกจากตรงนั้นไปได้
3. ใช้เวลาหาความรู้เกี่ยวกับศาสนาหรือจิตวิทยาไปด้วย
เพื่อที่จะปรับเปลี่ยนและขยายมุมมองของชีวิตให้กว้าง เพราะคนที่มีมุมมองกว้างเวลาเผชิญกับปัญหา
ก็จะมองเห็นทางออกหรือทางเลือกได้มากกว่า แล้วโอกาสที่จะรู้สึกว่าทางตันและหมดหนทางจะน้อยลง
กรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลมนารมย์ ระบุว่า เด็กและเยาวชนอาจจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากความเครียดของพ่อแม่ เพราะถ้าหากว่าพ่อแม่มีภาวะความเครียดสูง โอกาสที่จะทำหน้าที่พ่อแม่ได้ดีก็เป็นไปได้ยาก ทำให้ความเครียดลงไปสู่เด็ก ๆ ได้ หรือแม้แต่โอกาสที่ครอบครัวจะอยู่ใกล้ชิดกันนั้นก็มีน้อยลง เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ค่าครองชีพสูงแต่รายได้ต่ำ ทำให้พ่อแม่เครียดวุ่นอยู่กับงานจนไม่มีเวลาดูแลลูก
ขณะที่ปัจจุบัน สิ่งยั่วยุไปทางเสียในสังคมมีมาก ทำให้โอกาสที่เด็กจะไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งไม่ดีก็เป็นไปได้สูง เช่น ติดเกมส์ ชอบเที่ยวเตร่ และติดยาเสพติด
หรือบางกรณีอาจเกิดอาการว้าเหว่ ซึมเศร้า รวมไปถึงปัญหาการ ฆ่าตัวตาย ทางที่ดีแต่ละคนต้องดูแลตัวเองให้ดี และดูแลคนรอบข้าง ครอบครัว ให้ตระหนักในการฝึกสติเพื่อช่วยในการควบคุมอารมณ์ เพราะโอกาสที่จะเกิดปัญหาจากความหุนหันพลันแล่น กับคนในครอบครัวก็จะน้อยลง
ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องการวางแผนการเงินของคุณได้ที่
https://www.facebook.com/AIAchonchanit/
ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396
มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844
แรงกดดันต่อผู้คนในการใช้ชีวิตส่วนที่แรงที่สุด ก็คือ เรื่องของปัญหาทางด้านการเงินในครอบครัว
ที่เป็นผลลัพธ์สุดท้ายของปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งเห็นได้จากการขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจากผู้ใช้แรงงาน
พอมีปัญหาทางด้านการเงินแล้วสิ่งที่ตามมา ก็คือ ความเครียดในครอบครัว ถ้าครอบครัวไม่แข็งแรง ไม่มีความเข้าใจกัน จะเห็นได้ชัดจากการที่มีองค์กรบริษัทหลายแห่งติดต่อโรงพยาบาลฯ ให้ส่งเจ้าหน้าที่และจิตแพทย์ เข้าไปให้คำแนะนำปรึกษาเกี่ยวกับจิตเวช
คนที่มีพื้นฐานสุขภาพจิต ไม่แข็งแรง ก็จะเกิดความเครียดและเกิดการเจ็บป่วยทางจิตใจที่รุนแรงได้ เช่น อาการวิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ปัญหาเรื่องของการควบคุมอารมณ์ การใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่นและต่อตนเอง รวมทั้งปัญหาการฆ่าตัวตาย เมื่อรู้สึกว่าไม่มีทางออกกับปัญหาที่ต้องเผชิญ หรือบางรายอาจจะหลุดจากความเป็นจริง เช่น มีอาการหูแว่ว ประสาทหลอน หวาดระแวง จนกระทั่งเกิดปัญหาการติดเหล้า ยานอนหลับ หรือแม้กระทั่งยาเสพติด ซึ่งจะเป็นต้นเหตุนำไปสู่ปัญหาที่ยุ่งยาก และซับซ้อนมากกว่าที่ควรจะเป็น” น.พ. ไกรสิทธิ์ กล่าว
วิธีคิดที่จะช่วยลดความกดดันอีกอย่างหนึ่งก็คือ การมองว่าการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เป็นเรื่องธรรมชาติ ปกติ ธรรมดา รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงด้านการเมือง สังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ แต่ละคนก็อยู่ในช่วงหนึ่งของเหตุการณ์ เราจะคาดหวังให้ทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
สิ่งที่ทุกคนต้องกระทำ คือ
1. การฝึกผ่อนคลายจิตใจในแต่ละวันเป็นสิ่งที่จำเป็น
เปรียบเทียบกับสุขภาพทางกาย คนเราทุกคนต้องอาบน้ำชำระล้างคราบสกปรก
เพื่อให้เกิดความสะอาดสบายตัวในทุก ๆ วัน
จิตใจก็เหมือนกันใน ทุก ๆ วันแต่ละคนจะมีเรื่องเข้ามากระทบจิตใจ
ทำให้อารมณ์ขุ่นมัว เศร้าหมอง เครียด ไม่แจ่มใส
หากอารมณ์เหล่านี้ไม่มีการระบายออก ก็จะเกิดความเครียดสะสม
ต้องเคลียร์อารมณ์ในทุก ๆ วันออกไป
เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็ควรหาเวลาในแต่ละวัน วันละ 5 – 20 นาที
ในการหยุดพักหยุดคิดเรื่องเครียดต่าง ๆ
หางานอดิเรก ฟังเพลง ชมนก ชมไม้ เลี้ยงปลา กิจกรรมที่ตนเองชอบ
รวมทั้งการฝึกผ่อนคลาย เพราะทุกคนต้องการเวลาส่วนตัว เหมือนเวลาอาบน้ำก็เป็นเวลาส่วนตัว
หากคนเราไม่มีเวลาส่วนตัวที่จะผ่อนคลาย ก็จะทำให้เกิดภาวะเครียดได้
“การฝึกผ่อนคลายก็เหมือนการฝึกสมาธิ จะช่วยให้อารมณ์ลบไม่ขังสะสม
ทำให้ถึงจุดเดือดได้ยาก แต่ถ้าหากสะสมไว้มาก ๆ พอมีอะไรมาสะกิดนิดเดียวก็อาจจะถึงจุดเดือดและระเบิดได้ง่าย” น.พ. ไกรสิทธิ์ กล่าวและเสริมว่า ความแข็งแรงของจิตใจและสุขภาพจิตของแต่ละคนมีพื้นฐานไม่เท่ากัน แต่ละคนก็จะรับเรื่องหนัก ๆ ในชีวิตได้ไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นอย่าพยายามทำอะไรเกินกำลังของตัวเอง
2. ให้พยายามสังเกตอารมณ์ตัวเองอยู่เรื่อย ๆ
ฝึกยับยั้งอารมณ์โดยการนับ 1 ถึง 100
เพราะการชะลออารมณ์ จะทำให้เรารู้เท่าทันอารมณ์และเกิดสติ
มีเวลาคิดว่า ควรจะทำอย่างไรที่จะออกจากตรงนั้นไปได้
3. ใช้เวลาหาความรู้เกี่ยวกับศาสนาหรือจิตวิทยาไปด้วย
เพื่อที่จะปรับเปลี่ยนและขยายมุมมองของชีวิตให้กว้าง เพราะคนที่มีมุมมองกว้างเวลาเผชิญกับปัญหา
ก็จะมองเห็นทางออกหรือทางเลือกได้มากกว่า แล้วโอกาสที่จะรู้สึกว่าทางตันและหมดหนทางจะน้อยลง
กรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลมนารมย์ ระบุว่า เด็กและเยาวชนอาจจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากความเครียดของพ่อแม่ เพราะถ้าหากว่าพ่อแม่มีภาวะความเครียดสูง โอกาสที่จะทำหน้าที่พ่อแม่ได้ดีก็เป็นไปได้ยาก ทำให้ความเครียดลงไปสู่เด็ก ๆ ได้ หรือแม้แต่โอกาสที่ครอบครัวจะอยู่ใกล้ชิดกันนั้นก็มีน้อยลง เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ค่าครองชีพสูงแต่รายได้ต่ำ ทำให้พ่อแม่เครียดวุ่นอยู่กับงานจนไม่มีเวลาดูแลลูก
ขณะที่ปัจจุบัน สิ่งยั่วยุไปทางเสียในสังคมมีมาก ทำให้โอกาสที่เด็กจะไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งไม่ดีก็เป็นไปได้สูง เช่น ติดเกมส์ ชอบเที่ยวเตร่ และติดยาเสพติด
หรือบางกรณีอาจเกิดอาการว้าเหว่ ซึมเศร้า รวมไปถึงปัญหาการ ฆ่าตัวตาย ทางที่ดีแต่ละคนต้องดูแลตัวเองให้ดี และดูแลคนรอบข้าง ครอบครัว ให้ตระหนักในการฝึกสติเพื่อช่วยในการควบคุมอารมณ์ เพราะโอกาสที่จะเกิดปัญหาจากความหุนหันพลันแล่น กับคนในครอบครัวก็จะน้อยลง
ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องการวางแผนการเงินของคุณได้ที่
https://www.facebook.com/AIAchonchanit/
ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396
มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844
วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2561
คนรักสุนัขต้องอ่านข่าวนี้ ....เตือนแล้วนะ
หลายครั้งที่มีข้อกังขาเกี่ยวกับสุนัขและเชื้อโรคที่ตามมา อันที่จริงเราต้องยอมรับในทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า สัตว์แต่ละชนิด รวมถึงมนุษย์เรา จะมีเชื้อโรคที่เกิดการกระบวนการในร่างกายเฉพาะตัวอยู่แล้ว บางเชื้อไม่ให้โทษอะไรมากกับผู้สัมผัสโดน แต่บางเชื้อก็เล่นงานเราถึงชีวิต
ข่าวนี้ไม่ใช่ข่าวเรื่องพิษสุนัขบ้าค่ะ แต่เป็นเชื้อที่เกิดได้จากน้ำลายสุนัข ผ่านทางการกัด และเลีย โดยเรื่องนี้ได้เกดิขึ้นกับ Greg Manteufel ชายวัย 48 ปีจากรัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา เมื่อเขาต้องเสียขาทั้งสองข้างพร้อมกับจมูกของเขาไปเพราะติดเชื้อแบคทีเรียจากการถูกสุนัขแสนรัก “เลีย” เพียงเท่านั้น
โดยปกติแล้ว Greg นั้นเป็นคนรักสุนัขและอยู่ด้วยกันกับสุนัขมาตลอดทั้งชีวิต ในตอนที่อาการเริ่มกำเริบเขาคิดว่าคงเป็นเพียงแค่ไข้หวัดธรรมดา แต่แล้วอาการของเขาก็แย่ลงเรื่อยๆ จนถึงขั้นสาหัส
Dwan ภรรยาของเขาได้ให้สัมภาษณ์ว่า “สภาพร่างกายของเขาอย่างกับคนโดนอัดด้วยไม้เบสบอล เขาอายุ 48 ปีและตลอดเวลาที่ผ่านก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับหมามาตลอด แต่นี่ก็เกิดขึ้น… เขาคอยพูดกับแพทย์อยู่เสมอว่า ให้เอาอะไรไปก็ได้ แต่ช่วยให้ผมรอดชีวิตที”
มื่อเขาได้ถูกนำส่งโรงพยาบาลใน West Bend แพทย์ได้ระบุว่าเขาติดเชื้อในกระแสเลือดจากแบคทีเรีย Capnocytophaga ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายอย่างมากทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดย่ำแย่ลง
คุณหมอ Sylvia Munoz-Price ได้กล่าวว่า “แบคทีเรียชนิดนี้จะถูกส่งต่อกันผ่านน้ำลายของหมา ซึ่งจะแพร่กระจายไปในกระแสเลือดพร้อมกับส่งผลแย่ๆ โดยตรงต่อร่างกาย ทำให้ความดันเลือดของ Greg ลดต่ำลงจนทำให้กล้ามเนื้อขาตาย ในที่สุดแพทย์ต้องทำการตัดขาของเขาออกเพื่อรักษาชีวิตของเขาไว้”
โดยจากการคาดการณ์เชื้อโรคได้ผ่านเข้าสู่ร่างกายของเขาในช่วงเดือนมิถุนายน ตอนที่เขาเล่นกับสุนัขพันธุ์พิตบูลล์เทอร์เรียของเขา ซึ่งเป็นเคสที่โชคร้ายมากๆ เพราะปกติแล้วต้องถูกกัดถึงจะมีโอกาสติดเชื้อ แต่นี่ Greg แค่โดนมันเลียเท่านั้น
แบคทีเรียประเภทนี้จะสามารถพบเจอได้ 60 เปอร์เซนต์ในปากของสุนัขและ 17 เปอร์เซนต์ในแมว แต่อย่างไรก็ตามแบคทีเรียที่เขาโดนถือว่าเป็นแบคทีเรียธรรมดาและกรณีนี้เป็นเรื่องที่หาได้ยากมากๆ
เห็นหรือไม่คะว่าเรื่องที่ไม่เคยเกิดกับใคร ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้นกับเรา อันตรายอยู่กับเรารอบตัวเพียงแค่เราจะ ได้รับแจ็คพอทนั้นวันไหน สัตว์เลี้ยงแสนรักอาจจะนำพามาซึี่งโรคร้ายวันไหนก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆคือควรทไประกันชีวิตให้ครอบคลุมทุกด้าน และทุกค่าใช้จ่าย
ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องการวางแผนการเงินของคุณได้ที่
https://www.facebook.com/AIAchonchanit/
ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396
ข่าวนี้ไม่ใช่ข่าวเรื่องพิษสุนัขบ้าค่ะ แต่เป็นเชื้อที่เกิดได้จากน้ำลายสุนัข ผ่านทางการกัด และเลีย โดยเรื่องนี้ได้เกดิขึ้นกับ Greg Manteufel ชายวัย 48 ปีจากรัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา เมื่อเขาต้องเสียขาทั้งสองข้างพร้อมกับจมูกของเขาไปเพราะติดเชื้อแบคทีเรียจากการถูกสุนัขแสนรัก “เลีย” เพียงเท่านั้น
โดยปกติแล้ว Greg นั้นเป็นคนรักสุนัขและอยู่ด้วยกันกับสุนัขมาตลอดทั้งชีวิต ในตอนที่อาการเริ่มกำเริบเขาคิดว่าคงเป็นเพียงแค่ไข้หวัดธรรมดา แต่แล้วอาการของเขาก็แย่ลงเรื่อยๆ จนถึงขั้นสาหัส
Dwan ภรรยาของเขาได้ให้สัมภาษณ์ว่า “สภาพร่างกายของเขาอย่างกับคนโดนอัดด้วยไม้เบสบอล เขาอายุ 48 ปีและตลอดเวลาที่ผ่านก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับหมามาตลอด แต่นี่ก็เกิดขึ้น… เขาคอยพูดกับแพทย์อยู่เสมอว่า ให้เอาอะไรไปก็ได้ แต่ช่วยให้ผมรอดชีวิตที”
มื่อเขาได้ถูกนำส่งโรงพยาบาลใน West Bend แพทย์ได้ระบุว่าเขาติดเชื้อในกระแสเลือดจากแบคทีเรีย Capnocytophaga ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายอย่างมากทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดย่ำแย่ลง
คุณหมอ Sylvia Munoz-Price ได้กล่าวว่า “แบคทีเรียชนิดนี้จะถูกส่งต่อกันผ่านน้ำลายของหมา ซึ่งจะแพร่กระจายไปในกระแสเลือดพร้อมกับส่งผลแย่ๆ โดยตรงต่อร่างกาย ทำให้ความดันเลือดของ Greg ลดต่ำลงจนทำให้กล้ามเนื้อขาตาย ในที่สุดแพทย์ต้องทำการตัดขาของเขาออกเพื่อรักษาชีวิตของเขาไว้”
โดยจากการคาดการณ์เชื้อโรคได้ผ่านเข้าสู่ร่างกายของเขาในช่วงเดือนมิถุนายน ตอนที่เขาเล่นกับสุนัขพันธุ์พิตบูลล์เทอร์เรียของเขา ซึ่งเป็นเคสที่โชคร้ายมากๆ เพราะปกติแล้วต้องถูกกัดถึงจะมีโอกาสติดเชื้อ แต่นี่ Greg แค่โดนมันเลียเท่านั้น
แบคทีเรียประเภทนี้จะสามารถพบเจอได้ 60 เปอร์เซนต์ในปากของสุนัขและ 17 เปอร์เซนต์ในแมว แต่อย่างไรก็ตามแบคทีเรียที่เขาโดนถือว่าเป็นแบคทีเรียธรรมดาและกรณีนี้เป็นเรื่องที่หาได้ยากมากๆ
เห็นหรือไม่คะว่าเรื่องที่ไม่เคยเกิดกับใคร ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้นกับเรา อันตรายอยู่กับเรารอบตัวเพียงแค่เราจะ ได้รับแจ็คพอทนั้นวันไหน สัตว์เลี้ยงแสนรักอาจจะนำพามาซึี่งโรคร้ายวันไหนก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆคือควรทไประกันชีวิตให้ครอบคลุมทุกด้าน และทุกค่าใช้จ่าย
ติดตามบทความสุขภาพและสอบถามเรื่องการวางแผนการเงินของคุณได้ที่
https://www.facebook.com/AIAchonchanit/
ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลประกันเพิ่มเติม
LINE ID : chonchanit
Tel : 0619546396
มิว ชลชนิต ปึงวิริยะรัตน์ รหัสตัวแทน 594844
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)